วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อัลตร้า เกิร์ล วัยละอ่อน กับ ประโยคปักใจ "ถ้ากลัวก็ไม่ต้องลงแข่ง แต่ถ้าลงแล้วก็ต้องไปให้ถึง"


พี่โปรจรัญ (จรัญ พูลสวัสดิ์) บอก กำลังติดต่ออัลตร้าเกิร์ล วัยละอ่อน ให้อุ่นสัมภาษณ์ พร้อมบอกว่า คนนี้สุดยอด เจอแล้วจะอึ้ง บอกเลย ! เธอชื่อน้องกิ๊ก ได้ถ้วยทุกสนามที่ลงวิ่ง ผ่านมาหลายมาราธอน เข้าเฝ้ารับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากงานวิ่งที่เขาชะโงก เคยวิ่งอัตตร้า 10 ชั่วโมง ได้ระยะทางกว่า 81 กม. ได้ทั้งถ้วยและเงินรางวัล ... ได้ยินดังนี้ พี่อุ่นก็ถึงกับครั่นเนื้อครั่นตัว อยากให้ถึงวันนัดเร็วๆ 



เท่านั้นยังไม่พอค่ะคุณผู้อ่านขา ผ่านมาเจอภาพและข้อความนี้ของนิตยสาร  Thai Jogging ...พี่นี่อยากอึ้ง ทึ่ง ไปเปรี้ยวคุยกับน้องกิ๊กไวๆ ซะแร้น ... มาค่ะ คุณผู้อ่านขามาคุยกับ น้องกิ๊ก  นักวิ่งยอดกตัญญู ช่วยป๊า ม๊า ขายข้าวมันไก่ทุกคืน น้องกิ๊ก นักวิ่งที่รักของ ลุง ป้า น้า อา และเพื่อนผองทั้งหลาย น้องกิ๊ก นักวิ่งเจ้าของรางวัลทุกสนาม กัน ณ บัดเดี๋ยวนี้


เริ่มวิ่ง...
เริ่มวิ่งออกกำลังกาย ตอนอายุ 19 ย่าง 20 แต่เราวิ่งแบบไม่ได้จะลงแข่งนะ วิ่งเอาสนุก มาวิ่งกับอาๆ ในกลุ่ม สว.(ไว้วันหน้าเราแวะไปสวัสดีอาๆ กันนะคะคุณผู้อ่านขา) แค่นี้ก็สนุกแล้ว เราไม่ได้ชอบแข่ง แค่วิ่งกับตัวเองก็เหนื่อยแล้ว ขี้เกียจ (แล้ววัยรุ่นก็หัวเราะแถมท้าย) แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ทำไมเราต้องไปแข่งกับคนอื่นด้วย ก็วิ่งไปเรื่อยๆ กับกลุ่ม สว. 



วันหนึ่งก็ไปวิ่งงานวิสาขะ แถวบางปู วิ่งเสร็จ ได้ป้าย เราก็ไม่รู้ว่าป้ายอะไร (ป้ายแสดงอันดับที่วิ่งเข้าเส้นชัย เพื่อไปยื่นรับรางวัลค่ะ) ประธานชมรม คือ น้านิด (คุณณิชา นักวิ่งที่นักวิ่งส่วนใหญ่คิดว่าเป็นแม่น้องกิ๊ก) เขาก็คะยั้นคะยอ สนับสนุนให้เราลงแข่งอีก เราก็ไม่เอา ไม่ชอบ (ทำเสียงไม่ชอบจริงๆ ค่ะคุณผู้อ่านขา) เรากะแค่ออกกำลังกายเฉยๆ แค่ได้วิ่งอยู่กับกลุ่ม สว.เราก็ไม่คิดอะไรละ คือ วิ่งไป
คุยไป หัวเราะไป ก็สนุกแล้ว 





แล้วทีนี้สวนหลวงมีงานวิ่ง 10 กิโล อาคนหนึ่งเขาก็บอกลองลงดูสิ เดิมทีเราวิ่งเล่นอยู่แค่ 7 โล พอซ้อม 10 กิโล โอ๊ะ ! มันเหนื่อยจัง แต่เราเข้าใจนะว่ามันเหนื่อยเพราะจังหวะการก้าวมันเร็วขึ้นแล้วถ้าถามว่า เหนื่อยแล้วท้อมั๊ย ? ไม่นะ ! เรากลับรู้สึกว่า เราอยากไปได้อีก เราอยากก้าวให้ทันกับคู่วิ่ง อยากให้เร็วขึ้นเรื่อยๆ โจทย์มันเกิดขึ้นว่า เราจะทำอย่างไรให้วิ่งถึง 10 กิโล แล้วทำเวลาได้ดีที่สุด  (คุณผู้อ่านขา 7 กิโล ก็ดีอยู่แล้ว และ 10 กิโลก็เหนื่อย จะเพื่ออะไร ถ้าไม่เพื่อที่มาราธอนและผู้หญิงร่างเล็กที่ชื่อน้องกิ๊ก บอกให้รู้ว่า ชีวิตไม่มีข้อจำกัด และที่สำคัญ ชีวิตดี (Better) ขึ้นได้เสมอ) 



ทีนี้มาที่เวลาลงสนาม เราไม่ได้คาดหวังเรื่องรางวัลเลยนะ เราคิดแค่ว่าเราต้องทำให้ดีที่สุด เราไม่อยากกลับมาย้อนคิดเสียใจหลังจากมันผ่านไปแล้วว่า "ทำไมไม่ทำให้ดีที่สุดล่ะ" (เข้าคุณสมบัติคนสำเร็จ "ทำอะไรก็ต้องสุด ถ้าไม่สุดไม่ทำเลยดีกว่า")

ก่อนนี้...ช่วงทำงานประจำ (ก่อนมาช่วยป๊า กับ ม๊า ขายข้าว (คุณผู้อ่านแวะไปรับรสอร่อยของก๋วยเตี๋ยวและข้าวมันไก่ได้ทุกวันที่สีลม ซ.2 นะจ๊ะ) บริหารเวลามาวิ่งยังไงจ๊ะ...ตีสี่ยี่สิบเนี่ย ตื่นละ เพื่อที่จะให้ทันตีห้า (ตอนประตูสวนหลวง ร.9 เปิดเลย)  แล้ววิ่งให้เสร็จภายใน 6 โมง เพื่อที่จะต้องไปทำงานต่อ 



อืม ! หลายคนบอกว่าอยากออกกำลังกาย แต่บอกว่าไม่มีเวลา เราว่า ไม่มีเวลาเป็นเรื่องจริงมั๊ย...
ทุกอย่างเราเตรียมได้นะ มันขึ้นอยู่กับว่าเรา "เลือก" ที่จะทำรึเปล่า ไม่ตอนเช้า จัดเป็นตอนเย็นก็ได้ ตอนกลางวันไม่มีเวลาอยู่แล้วเข้าใจ ถ้าเลือกตอนเช้า ก็แค่ตื่นเช้าขึ้นอีกสักหน่อย ออกกำลังกายในบ้าน
ยืดเส้นยืดสายก็ได้ ถ้าเป็นตอนเย็นหลังเลิกงาน เปลี่ยนเวลาเดินเที่ยวห้าง มาออกกำลังกายก็ได้ เพื่อสุขภาพของตัวเอง คนไหนที่อ้วน นั่งเฉยๆ มองว่าคนนั้นโชคดีจังไม่อ้วน อยากได้หุ่นดีๆ แบบเค้าบ้าง ... ต้องเข้าใจค่ะว่ากว่าเค้าจะได้หุ่นดีแบบนี้เค้าทำอะไรบ้าง ไม่ใช่นั่งมองเฉยๆ แล้วจะได้ ... ต้องลุกขึ้นมาทำบางอย่างนะ (น้องกิ๊ก ตรงไปตรงมาชัดเจนและมุ่งมั่นแบบนี้นี่เอง ถึงเป็นที่รักของบรรดาอาๆ ในกลุ่ม สว.)



กลับมาที่เรื่องลงแข่ง ... เราบอกว่าไม่ชอบแข่ง แต่เหตุไฉนถึงได้รางวัลทุกสนาม...อะไรมาเป็นจุดตัด หรือจุดประกายให้เราลงแข่ง...
มันมาแบบนี้นะ เราก็วิ่งไปๆ กับกลุ่ม สว. จนเค้าเริ่มวิ่งตามไม่ทันเรา ร่างกายเราพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่รู้ต้ว อาๆ กลุ่ม สว. เขาก็ขับไส (หัวเราะเพราะโดนขับไส) ให้เราไปวิ่งกลับกลุ่มนักวิ่ง ก็วิ่งตามน้านิด (คุณณิชา) ก็วิ่งไปเรื่อยๆ น้านิดเค้าชวนไปไหน เราก็ขอที่บ้านไป เราไปวิ่ง ก็ได้ถ้วยมาเรื่อยๆ ถามว่าเหนื่อยมั๊ย มันก็เหนื่อยทุกครั้ง (แล้วก็หัวเราะ คงเป็นเพราะที่บอกไว้ข้างต้นว่าเราไม่ได้อยากแข่ง แค่วิ่งกับตัวเองก็เหนื่อยแล้ว) แต่สนุกนะ มีสปอร์นเซอร์ เราก็วิ่งไปเรื่อยๆ สนุก พอรองเท้าพัง อาๆ และพี่ๆ ในชมรมก็รวมเงินกันซื่้อรองเท้าให้เรา เท่านั้นแหละรักเลย (น้องหัวเราะ พลางบอกว่าน้ำตาจิไหล) (คุณผู้อ่านขา อุ่นเองก็น้ำตาจิไหล ได้เรียนรู้ว่า คนดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีคนสนับสนุนอุ้มชูค่ะ) อาๆ พี่ๆ เค้าก็บอกว่า พยายามนะ วิ่งให้ได้รางวัลนะ เราก็ อืม อืม รับคำ...



แต่ที่มาจุดประกายจริงๆ คือ งานแข่งขันเดิน-วิ่ง "เขาชะโงกซูเปอร์ฮาล์ฟมาราธอน" เราอยากเข้าเฝ้าฯ ต้องวิ่งเข้าเส้นชัย 1 ใน 5 ถึงจะได้เข้าเฝ้า ปีแรก (ตอนอายุประมาณ 20) เราลงเข้าที่ 6 ซ้อมทุกอย่าง ทุกสนาม เพื่องานนี้ที่เราต้องเข้าเฝ้าฯ ให้ได้ วิ่งเข้าที่ 6 มา 6 ปี ในที่สุดปีที่ 7 เราก็เข้าเส้นชัย เป็นที่ 1 ดีใจ ดีใจน้ำตาร่วงเลย รีบโทรบอกแม่ แม่จำลอง (น้านิด) ว่าหนูได้แล้วนะ ได้ที่ 1 ด้วย (หัวเราะเสียงเครือพร้อมน้ำตาคลอเบ้า ... (อุ่นบรรยายไม่ถูก พูดได้สั้นๆ ว่าปลื้มปริ่มในตัวน้องค่ะ) (ความสำเร็จไม่ได้มาจากการพยายามแค่ครั้งเดียว หากแต่มาจากใจเอาจริง มุ่งมั่น ฝึกซ้อม ไม่ว่าจะไม่ถึงเส้นชัยเป็นร้อยครั้งพันครั้ง แต่คนสำเร็จรู้แน่ว่าเขาถึงแน่นอน ... เหมือนน้องกิ๊ก 7 ปี ที่ฝึกซ้อม เพื่อได้เสพวินาทีแห่งความภาคภูมิใจ) 

ลงสนามมากมาย แล้วก็วิ่งระยะไกลด้วย มีสักครั้งมั๊ย ที่คิดถอดใจ...
อารมณ์ถอดใจไม่มีนะ แต่จะมีประมาณว่า เคว้งคว้าง คือ เราวิ่งออกไปไกลสักพักนึงเแล้ว มองไปข้างหลังก็ นู่นนนเลย เห็นคนอยู่ไกลๆ มองไปข้างหน้าก็นู่นนนเลย ห่างกันไกล ผู้คนหายไปไหนหมดเนี่ย ถามตัวเองว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย แต่บอกตัวเองว่า เอาให้ถึงสิ ลงมาแล้วนิ จะคิดทำไม (เปรียบเปรยกับทุกเส้นทางเดินในสนามชีวิตนะ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกีฬา เรื่องงาน เรื่องครอบครัว บางครั้งในระหว่างทางเราต้องเผชิญสภาวะที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียว เหมือนในสนามมาราธอน ดังนั้น มันเป็นธรรมชาตินะ มีคนรอบข้างคอยอุ้มชู แต่ในบางสภาวะเราต้องขับเคลื่อนตัวเราไปให้ได้เมื่อไม่มีใคร นี่แหละชัยชนะ ของหัวใจนักสู้เลย...ขอบคุณน้องกิ๊ก)


และแม้แต่ในสภาพที่คนเห็นว่าเราโซซัดโซเซแล้ว และก็ถามเราว่า ไหวมั๊ย  ไหว  ไปต่อมั๊ย ไป ในหัวเราไม่คิดอะไรเลย รู้สึกอย่างเดียว คือ มัน เราไม่รู้นะว่าเราเป็นอะไร พี่เขามาเล่าให้ฟังที่หลังว่า ระยะก่อนถึงเเส้นชัย สภาพเรานี่คือ หน้าซีดหน้าเซียว วิ่งเซไปถูกับรถที่จอดอยู่ข้างทาง พอเข้าเส้นชัยปุ๊บล้มคว่ำลงไปในเปลหาม เค้าจับเราหายตัวขึ้นแล้วเสียบสายออกซิเจนเลย (เล่าไปหัวเราะไป แต่ถ้ามีสติตอนนั้น คงไม่ขำนะ  อิอิ) เราคิดอย่างเดียวว่าเราต้องไปให้ถึง ลงสนามแล้ว เราไม่เลี้ยวกลับ ถ้ากลัวไม่ถึง ก็ไม่ต้องลง (อื้อหือ อุ่นจำได้เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของนักแสดงโชว์ห้อยโหนกลางอากาศระดับโลกคนหนึ่ง เขาบอกว่า "คิดกลัว" แค่วินาทีเดียว ร่างก็ร่วงลงพื่้น นั่นหมายถึง แพ้...คนชนะคิดแบบนี้นี่เอง "ถ้ากลัว ก็ไม่ต้องลงสนาม" ) นักมาราธอนทุกคนจะเป็นแบบนี้หมด คือ ไม่กลัว กับ บ้า (พูดพลางหัวเราะชอบใจ)

*** แต่สถานการณ์หมดแรงล้มพับแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น น้องกิ๊กฝากไว้ค่ะ มันเกิดเนื่องมาจาก ก่อนลงวิ่ง 3 วัน ไปบริจาคเลือดมาค่ะ แล้วประจวบเหมาะกับช่วงวันนั้นของเดือน ตรงนี้เป็นข้อพึงระวัง หากไปบริจาคเลือดมาควรพักประมาณ 3 อาทิตย์แล้วค่อยลงสนามแข่งนะคะ ... เพื่อชนะและท่าสวยเข้าเส้นชัยค่ะ (อิอิ)



ถอดใจไม่มี มีแต่ถอนตัว !!! ...
เคยถอนตัวครั้งนึงนะ ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อม คือ เจ็บขาสองข้าง และก็ไม่ได้ซ้อม ไม่ได้บริหารการกิน (ที่ควรเน้นกินสารอาหารคาร์โบไฮเดรตให้ถึง กินผลไม้ให้เยอะ แต่เราไม่ได้ดูแลเลย) ... แต่ด้วยงานวิ่งฟรี และได้เที่ยวด้วย ชอบ (อิอิ...วงเล็บ ชอบมาก) ใจก็คิดว่าไปได้ ... ถึงตอนวิ่ง วิ่งขึ้นเขื่อน มันมาก พอตอนกลับตัวลง เรารู้สึกหิวมาก ตัวลอย เหมือนจะหลับ แต่ใจเรายังไปนะ เราก็ถามคนข้างๆ แหละว่า พี่มีอะไรให้หนูกินบ้าง...ไม่มีเลยยยย เงินในกระเป๋าก็ไม่เตรียมไป ทุกครั้งไม่เคยเตรียม เพราะมั่นใจว่า วิ่งถึงชัวร์ ที่ไหนได้ ตังค์ก็ไม่มี ของกินก็ไม่มี มีแต่น้ำ ... ถ้าเดินต่อไป ต้องหลับตรงไหนสักที่ เจอรถปอเต็กตึ๋งมา ให้เค้าไปส่ง เกิดรักตัวเอง ตระหนักว่า ถ้าไม่ไหวก็ไม่ควรฝืน มันส่งผกระทบหลายๆ เรื่องนะ พ่อแม่จะเป็นไง จะอยู่ยังไงอ่ะ (น้องกิ๊กฝากบอกว่า ... ไม่ควรชะล่าใจ เราควรเตรียมพร้อมที่สุดทั้งก่อนและลงสนามนะจ๊ะ)


คิดอะไรก่อน Start ก้าวขาลงสนาม...
ตอนซ้อมคือ ตั้งเป้า ว่าจะต้องทำระยะทางและเวลาให้ได้ตามที่กำหนด แต่เวลาลงสนาม เราไม่คิดอะไรแล้ว ลืมหมดทุกอย่าง ปล่อยให้ว่าง ไม่คิดว่าจะวิ่งกี่นาที จะให้เร็วยังไง ถ้าไปคิดตรงนั้น มันจะเครียด ไม่สนุก เราออกมาวิ่งเพื่อสนุกน่ะ วิ่งแล้วเครียดไม่มีเหตุผลต้องวิ่งนะ แล้วก็มีที่ไหนน่ะเขามาปิดถนนสวยๆ ให้เราวิ่ง มันไม่มี เพราะฉะนั้นลงแล้ววิ่งไปตามทางให้มันสนุก และระหว่างทางก็แค่คอยตรวจสอบตัวเองว่า ไหวมั๊ย ถ้าไหวก็ไป ถ้าไม่ไหวก็หยุด แต่ต้องตัดสินใจแบบไม่ให้มาเสียใจทีหลังว่าจริงๆ เราวิ่งไหวนะ ไม่น่าหยุดเลย เมื่อเลือกที่จะไปต่อ ก็เล่นกับตัวเองว่า เร่งขึ้นได้มั๊ย ถ้าเร่งได้ก็เร่ง เร่งไม่ได้ก็ประคับประคองวิ่งให้ถึงเท่านั้นเอง



มีประสบการสนุกๆ แสบๆ คันๆ ในสนามแข่งมั๊ย...
มี ... ครั้งหนึ่งที่แข่งเพื่อจะเข้าเฝ้าฯ แหละ มีแฝดคู่หนึ่ง พร้อมอาวิ่งประกบ วิ่งไประยะไกลพอสมควรแล้ว ก็มาหายใจรดต้นคอเรา ทำแบบนี้เป็นระยะหลายกิโลเลย มันวิ่งมาถึงจังหวะที่ร่างกายเหนื่อยด้วย เลยทำให้เราเสียสมาธิเลย ... สำหรับเราเราว่ามันไม่มีมารยาทนะ อยากจะบอกว่าถ้าไหวก็วิ่งไปก่อน ถ้าไม่ไหว ผ่อนก่อนแล้วค่อยเร่วก็ได้ ... นักกีฬาที่ดีไม่ทำแบบนี้ (เรื่องราวประเภทนี้มีอยู่ในทุกสนามแข่งของชีวิตนะ เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้อุ่นมักจะบอกกับตัวเองว่า "จะเป็นใหญ่ใจต้องนิ่ง" แล้วใจก็นิ่งดีนักแล ...ขอคารวะน้องกิ๊ก เชื่อได้เลยว่ามารมาผจญ เพราะเธอเก่งจริง)



มีเทคนิควิ่งให้ชนะมั๊ย...
ง่ายมาก เราจะวิ่งตาม หรือเรียกว่าวิ่งเกาะคนที่เขาวิ่งเก่งกว่าเรา และอีกอย่าง ตอนสมัยทำงานประจำ เราเริ่มสตาร์ทวิ่งตอนตี 5 ตั้งเป้าวันละ 10 โล วิ่งยังไงก็ได้ให้ได้สิบกิโลภายใน 6 โมง นี่ก็เป็นเหตุให้วิ่งทำเวลาได้ดีนะ...ง่ายๆ แค่นี้เลย

ได้อะไรจากมาราธอน...และอยากบอกอะไรกับคุณผู้อ่านบ้างจ๊ะ...
ได้สุขภาพนะ แต่ก่อนนี้พอเป็นหวัดเป็นทีนานเป็นเดือนเลย ไอเยอะ น้ำมูกเยอะ แต่พอมาวิ่งหวัดหายเร็วขึ้น แทบไม่ต้องกินยาเลย มีสมาธิ อารมณ์ดีขึ้น ทำอะไรได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน ความอดทนเป็นเลิศ ... อย่างเช่นเราวิ่งระยะ 21 กิโล นั่งรถย้อนกลับมา นึกสงสัย นึกว่าเหมือนฝัน นี่เหรอระยะทางที่เราวิ่งมา วิ่งได้ไงเนี่ย มันไกลมากนะ ถามตัวเองซ้ำๆ ว่าจริงเหรอ !!!  มันจริงนะ !!! ไม่อยากเชื่อว่าเราวิ่งได้ แต่นี่ล่ะเรื่องจริงของเราเลย (โห !!! แล้วพี่จะซ้อมเพื่อตามน้องไป พบปะอารมณ์สงสัยแบบนี้บ้าง อิอิ)



แล้วก็ระวังเรื่องการออกกำลังกายให้พอดีกับสภาพร่างกายของเรานะ ออกให้ถึง ถ้าออกไม่ถึงก็เสียเวลาเปล่า และก็ไม่ออกมากเกินไป เพราะจะทำให้ร่างกายทรุดโทรม เสียหายถึงชีวิตได้...นะจ๊ะ



ขอบคุณหัวใจนักสู้ เจ้าของรางวัลทุกสนาม ที่บอกว่า "ถ้ากลัว ก็ไม่ต้องลง ถ้าลงแล้ว ก็ไปให้ถึง" อัลตร้าเกิร์ล วัยละอ่อน น.ส. กนกวรรณ ธรรมเสวก สมกับที่พี่โปรจรัญบอกไว้จริงๆ ว่า จะอึ้ง ทึ่ง เมื่อได้คุยกับเธอ

อุ่นไอ ไทยแลนด์...เรียบเรียง

1 ความคิดเห็น:

  1. เจอเธอคนนี้ที่สวนหลวง ร.9 ทีไร ... หัวใจพี่เต้นตุ๊บๆ อยากขยับแข้งขาให้ทันน้องเลยทีเดียว

    ตอบลบ