วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ลุงสน นักวิ่งมาราธอน วัยเกษียณ แข้งแข็งและแรงมาก ฉายา หัวลาก

เช้า วันเสาร์ที่ 18 กรกฏาคม 2558 หลังเคารพธงชาติ อุ่น พี่โปรจรัญ กับพี่สน (ลุงสน) พร้อมกันตามเวลานัดเป๊ะ (ปลื้มตัวเอง และปลื้มทุกคนที่มีโอกาสสัมผัสชีวิตกันในช่วงนี้ ที่เราเห็นคุณค่าในเวลาของกันและกัน  อุ่นเชื่อว่านักกีฬาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า นอกจากสุขภาพจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว เวลาก็สำคัญเช่นเดียวกัน เพราะทั้งสองอย่างถ้าผ่านไป หรือเสียไปแล้ว มีเงินมากมายล้นบ้านก็เอากลับไม่ได้...ปลื้มปริ่ม )

สวัสดีพี่โปรจรัญ แต่ยังไม่ได้ทันสวัสดีพี่สน  ก็มีเสียงใสๆ ของพี่ยุลอยมากับลม ลุงสนสวัสดีค่ะ” 
อุ๊ปสส
!!! พี่สนของพี่จรัญ ... ลุงสนของพี่ยุ  ... อุ่นคิดในใจว่า มีเซอไพรส์อีกแล้ว  ชายหนุ่มวัยกลางคน กล้ามเนื้อ กล้ามขาแลดูแข็งโชะ  พร้อมเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง แข็งแรง แคล่วคล่อง  ห่อร่างท่อนบนไว้ด้วยเสื้อวิ่งสุดชิค เอวลอยเสมอขอบเอวกางเกง คนนี้น่ะหรือ ลุง !!!  อุ่นแทบหยุดหายใจ ถามทันทีอย่างมีมารยาทว่า

ลุงสนอายุเท่าไหร่คะ
67 ปี (คุณผู้อ่านขา อุ่นคิดว่าสักประมาณ 55 นี่ล่ะมั๊งที่เขาบอกว่า กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ)

ลุงสนเริ่มวิ่งตอนอายุเท่าไหร่คะ
เริ่มวิ่งตอนอายุประมาณ  53 – 54 ปี (โอ้ว ! อีกประเด็นที่ทำให้ประหลาดใจ  เริ่มออกกำลังกายจริงจังตอน อายุ 50 กว่า แล้ว  และร่างกายสามารถรักษาสภาพไว้ให้ดูเป็นหนุ่มแข็งแรงได้ขนาดนี้  มันยอดเยี่ยมจริงๆ  ... อยากให้คุณผู้อ่านได้มาเห็นความแข็งแรงสดชื่นของลุงสนเหมือนที่อุ่นเห็นอยู่ตรงนี้เลยค่ะ) *** ยิ่งคุยยิ่งสนุก คำตอบในคำถามต่อไป จะทำให้คุณผู้อ่านยิ่งรักลุงสน และรักสุขภาพของตัวเองมากขึ้นไปอีก

อะไรทำให้ลุงสนออกวิ่งคะ
ลุงบริจาคเลือดมาตั้งแต่อายุ 20 ปี กว่าๆ บริจาคได้มาตลอด มาถึงวันนั้น ที่อายุประมาณ 53-54 ปี หมอไม่รับบริจาค เพราะมีไขมันในเลือดสูง (คลอเรสเตอรอลสูง)  หมอบอกให้ออกกำลังกาย ลุงก็ออกวิ่งเลย ตอนนั้นยังทำงานอยู่ ก็วิ่งตอนเย็น วันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ วิ่งไปประมาณ 3 เดือน ก็กลับไปบริจาคเลือด  ปรากฎ ................... บริจาคได้ ลุงดีใจนะ ไขมันในเลือดลดได้โดยที่ลุงไม่ต้องกินยา ร่างกายลุงแข็งแรงขึ้น แถมเลือดก็ยังเป็นประโยชน์ให้คนอื่นได้อีก จนถึงปัจจุบันนี้บริจาคมาร้อยกว่าครั้งแล้ว ดีใจ ดีใจ (กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษของแท้นะคะคุณผู้อ่านขา)

ลุงสนเริ่มเป็นนักกีฬาลงสนามแข่งวิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
เริ่มประมาณอายุ 55 ปี สมัยนั้นเรียกว่าเป็นนักกีฬารัฐวิสาหกิจ ก็เริ่มติดใจตั้งแต่นั้นมา เขาจัดแข่งปีละครั้ง ลุงลงแข่ง 5 ปี จนเกษียณเลย ตอนนั้น เป็นการแข่งวิ่งเร็ว 100 เมตร 4x100 800 เมตร 1500 เมตร 5000 เมตร พอเกษียณ ลุงก็ยังวิ่งต่อ จนมาลงสนามแข่งมาราธอนนี่แหละ

เรียกว่าเกษียณจากงาน แต่ไม่เคยเกษียณจากการออกกำลังกายใช่มั๊ยคะ
ใช่ ใช่  ตอนเช้าลุงมาวิ่งที่สวนหลวง ร.9  ทุกวัน เริ่มวิ่งประมาณ 6 โมงครึ่ง วิ่งวันละ 15 กิโล ประมาณ 1 ชม. ครึ่ง


แล้วสถิติเวลาที่ลุงทำได้ในสนามแข่งล่ะคะ
เอาเท่าที่ลุงจำได้ตอนนี้นะ
มินิ ฮาล์ฟ มาราธอน
(10.5 กม.) ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
ฮาล์ฟ มาราธอน (21.กม.) ใช้เวลา 1 ชม. 40 นาที
มาราธอน
(42.195 กม.) เร็วที่สุดที่ทำได้ อยู่ที่  3 ชม. 53 นาที
(โอ้ว !!! ความแข็งแรงไม่ได้ลดลงตามวันเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ แต่หากแข็งแรงขึ้นตามวันเวลาของการฝึกซ้อม...นี่ล่ะมั๊งที่พี่โอ เรียกลุงว่า หัวลาก)

อุ่นมักจะชอบถามว่า ทำไมต้องลงสนามแข่ง แล้วคิดอะไรในระหว่างวิ่งอยู่ในสนามเพราะมันใช้เวลาอยู่กับตัวเองนานหลายชั่วโมง คำถามนี้ขอถามลุงด้วยนะคะ
ลุงว่านะออกกำลังกายทั้งที ก็ต้องให้ถึงสุดยอดของกีฬาชนิดนั้นๆ แล้วสุดยอดของมาราธอนก็คือวิ่ง 42 กิโล  ลุงคิดอย่างเดียวขอให้ถึงเส้นชัย ไม่คำนึงเวลานะ วิ่งให้ถึงอย่างเดียวเลย ขอให้ถึง ไม่ขึ้นรถกลับบ้าน ลุงก็ถือว่าชนะแล้ว ครั้งแรกที่ลุงวิ่ง 42.195 กิโล ลุงใช้เวลาอยู่ที่  4 ชม. 34 นาที   หลังจากนั้นเวลาก็ดีขึ้นๆ จนได้ถ้วย ระยะ 42.195 นี่ลุงลงแข่ง 8 ครั้ง ได้ถ้วย 2 ครั้ง  นี่ลุงจะบอกอะไรให้ ตอนแรกลุงวิ่งเพื่อลดไขมันในเส้นเลือดนะ แต่พอมาวิ่งได้ถ้วยมันเริ่มติดถ้วยละ คือ อย่างนี้นะ เราวิ่งไม่เคยได้ถ้วย ได้แต่ไปยืนดูเขารับถ้วยกัน เราก็อยากได้บ้างน่ะ (ลุงสนพูดพร้อมหัวเราะ น้ำเสียงจริงจังขี้เล่น...อยากให้คุณผู้อ่านได้ยินเสียงหัวเราะตอนหัวใจลุงฮึกเหิมอยากได้ถ้วยจริงๆ ... มันเฟี้ยวฟ้าวค่ะคุณผู้อ่านขา) โอ้โห ถ้วยแรกที่ได้นะดีใจมาก (ลากเสียงยาวเลยค่ะ) วิ่งกับนักวิ่งแถวหน้า แล้วเราเข้าที่สามน่ะ มันดีใจ ดีใจมากๆ บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าดีใจมากน่ะ
เนื่องจากวันนี้เรามีเวลาคุยกันประมาณ 20 นาที เพราะลุงสนต้องรีบไปดูแลให้คุณป้า (ภรรยา) กินยาตรงตามเวลา เราจึงมาถึงบทสนทนาสุดท้ายกันอย่างรวดเร็ว

ลุงสนจัดอยู่ในกลุ่มคนวัยเกษียณ แต่สุขภาพแข็งแรงมากๆ  จากการดูแลตัวเองและโดยเฉพาะการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ลุงมีอะไรฝากถึงทุกคนที่ได้ผ่านมาอ่านเรื่องที่ลุงเล่าให้ฟังวันนี้อย่างไรมั๊ยคะ
การวิ่งนี่เป็นกีฬาที่ง่ายและสะดวก และราคาถูกมากนะ เล่นคนเดียวได้ ไม่ต้องรอใคร รองเท้า 1 คู่ เสื้อผ้าง่าย 1 ชุด น้ำ 1 ขวด ก็ออกวิ่งได้แล้ว  สุขภาพสำคัญมาก พยายามนะ อย่าบอกเลยว่าไม่มีเวลา เราจ่ายเวลา ไม่ว่าเช้าหรือเย็น หรือวันหยุด มาเจอเพื่อนใหม่ กิจกรรมใหม่  ถึงวันหนึ่งวันนั้น ถ้าป่วย เสียเวลากว่าออกกำลังกายอีกนะ เสียเวลาไปหาหมอ บวกเสียเงิน
ลุงจะบอกว่า อย่ารอให้หมอสั่งเลย วันที่หมอสั่งให้ออกกำลังกายมันอาจไม่ทัน วันนี้เรายังแข็งแรงอยู่ ก็สั่งตัวเองเลย เช้าหรือเย็นก็ได้  วันละ
30 นาทีขึ้นไป ไม่วิ่ง ก็เดินเอาก็ได้ แต่เดินเร็วๆ นะ เดินแบบผิดนัดน่ะ อะไรเหรอคะลุง ...เดินแบบผิดนัด ? ก็เดินรีบๆ ต้องรีบไปให้ทันนัดน่ะแล้วเดินต่อเนื่องด้วย หัวใจจะได้ทำงานให้เลือดสูบฉีดได้ต่อเนื่อง
ลุงอยากจะบอกจริงๆ นะว่าอย่ารอให้หมอสั่ง อย่างแฟนลุงเนี่ย เมื่อก่อนชวนออกกำลังกายไม่ออก แต่หลังจากหมอสั่ง พอมาออกก็ติดใจ แต่บางอย่างมันไม่ทันนะ มันวิ่งไม่ได้ แต่ยังดีที่เดินได้ แฟนลุงเนี่ยเพิ่งทำบายพาสไป หลังจากทำบายพาส ก็พักไป 1 เดือน และตอนนี้ออกกำลังกายที่สวนมา 3 เดือนแล้ว (เดินวันละ 1 ชม.ครึ่ง แล้วก็ฟิตเนสที่ลานสุขภาพสวนหลวง ร. 9 อีก 30 นาที) แข็งแรงขึ้นเยอะ น้ำหนักก็ลดลงด้วย แต่ลุงอยากจะบอกจริงๆ นะว่า ถ้าใครยังไม่ป่วย ก็ออกก่อนเลย เพราะถ้าป่วยแล้ว มันไม่มีทางเอากลับคืนมาได้หมด


ลุงดีใจนะที่เห็นคนคนมาออกกำลังกายที่สวนหลวง ร.9 นี่ ยิ่งเสาร์อาทิตย์รถแน่นแทบไม่มีที่จอด มองดูแล้วดีจัง  ฝากบอกถึงเด็กด้วยเลย ไม่ต้องรออายุเยอะนะ วันละ 30 นาทีขึ้นไป เดินไป วิ่งไป เดี๋ยวร่างกายจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้นเอง  ออกวิ่งหรือเดินราคาถูกแสนถูก รองเท้าคู่ละ 500 800 บาท ก็ใช้ได้แล้ว ลุงก็เริ่มต้นที่ราคาเท่านี้แหละ (แล้วก็มีเสียงแซวมาจากพี่จรัญว่า ค่อยๆ ขยับคุณภาพและราคารองเท้าขึ้นตามฝีเท้า)  (โอ้โห !!!  ฝีเท้าโปรระดับลุงสนคงห่าง 500 800 ไปหลายเท่าตัวแล้วค่ะคุณผู้อ่านขา)  ..... แล้วหนูอุ่นมาซ้อมวิ่งกับลุงนะ ลุงวิ่งไม่เร็วหรอก ..... จบประโยคนี้ขาแข็งๆ น่องแข็งแรงๆ ของลุง ก็ขอตัวไปทำธุระต่อกับคุณป้าภรรยาสุดที่รักต่อค่ะ...น่ารักจัง ^___^

ทุกครั้งที่มีนัดคุยกับนักวิ่งมาราธอน อุ่นก็จะตื่นเต้น และจะทำการบ้านมาก่อนเสมอว่าจะถามประเด็นอะไร อยากให้นักวิ่งเล่าเรื่องอะไร เพื่อที่อุ่นจะได้มีมุมที่แตกต่างจากเดิม ให้คุณผู้อ่านได้สนุกและได้อะไรใหม่ๆ ในทุกครั้ง แต่พอเมื่อถึงเวลาคุยกันจริงๆ วิถีของการตั้งประเด็นของอุ่นยังใกล้เคียงกับครั้งก่อนๆ แต่อุ่นกลับสนุกและประหลาดใจทุกครั้งกับนักวิ่งทุกคนที่กรุณาเล่าเรื่องราวเทห์ๆ ให้ฟัง


สำหรับครั้งนี้ ลุงสนยังไม่ทันเริ่มเล่า ก็มีเรื่องให้ประหลาดใจแล้ว อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ปีนี้ลุงสนอายุ 67 ปี แต่คุณผู้อ่านขา ดูจากสายตา อุ่นยังคงให้อายุลุงสนอยู่ที่ประมาณ 55 มันยอดเยี่ยมมากๆ สำหรับชีวิตนะคะ การออกกำลังกายโดยเฉพาะการวิ่ง เป็นการลงทุนที่ถูกแสนถูก แต่ได้กำไรให้ชีวิตมหาศาล ในวัย 67 ปี แต่ลุงสนไม่ป่วยเป็นอะไรเลยสักอย่าง แถมรูปร่างนะ  เซี๊ยะ ค่ะ  หน้าท้องแบนราบ แข้งขาเนี่ย อุ่นว่าแข็งแรงกว่าผู้ชายในวัย 40 หลายคนเลยทีเดียว

และลุงสนเป็นตัวอย่างให้พวกเราเห็นว่า ชีวิตเริ่มต้นเมื่อไหร่ก็ได้ ลุงเริ่มวิ่งตอนอายุ 50 ปีกว่าแล้ว ในขณะที่หลายๆ คน อาจคิดว่า 50 กว่าแล้วไม่ทันหรอก มันจะเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป จึงไม่ได้ลงมือทำอะไร และสุดท้ายก็ทรุดโทรม เจ็บป่วย ใช้เงิน ใช้เวลาในการรักษา ประเด็นนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องราวในชีวิตนะ ไม่ว่าจะมีความตั้งใจอะไร อยากทำอะไร หากมันเป็นเรื่องราว เป็นความตั้งใจที่ถูกต้องดีงาม ไม่ว่ามันจะเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เราสามารถเริ่มต้นได้เลย ณ วินาทีนี้  ไม่มีคำว่าเด็กเกินไป แก่เกินไป มีแต่คำว่า วินาทีนี้นี่แหละดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นทำอะไรบางอย่าง ค่อยๆ ทำไปอย่างสม่ำเสมอตามวิถีของตัวเอง  แล้วเรื่องราว หรือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำสะสมในทุกวัน ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ให้กำไรกับชีวิต  เช่นเดียวกับที่ลุงสนค่อยๆ สะสมความแข็งแรงให้ร่างกายมาด้วยการวิ่งที่เริ่มเมื่ออายุ 50 กว่า หากว่าเทียบกับคนในวัยเดียวกันที่ไม่ได้ออกกำลังกาย อาจเสียสตางค์ค่าหมอไปมากหลายแล้ว แต่สำหรับลุงสน อุ่นว่านะ ลุงยังไปปีนเขาเที่ยวเล่นกับวัยรุ่นได้สบายๆ เลยล่ะ



แล้วถ้าแวะมาสวนหลวง ร.9  จำลุงได้ง่ายๆ ตรงเสื้อเอวลอยเสมอขอบเอวกางเกงนะจ๊ะ สวัสดีลุงสน แล้ววิ่งกับลุง ลุงบอกว่า ลุงวิ่งไม่เร็วจ๊ะ ^____^

ขอบคุณ
ลุงสน อ้นรัตน์ ผู้แบ่งปันเรื่องราว และ
พี่โปรจรัญ พูลสวัสดิ์ ผู้นำพาลุงสน มาเล่าเรื่องราวแรงบันดาลใจนี้สู่ชาวโลก
อุ่นไอ  ไทยแลนด์ ... เรียบเรียง

ปล. คุณผู้อ่าน มีประเด็นอะไรอยากถามนักวิ่งมาราธอน ฝากคำถามไว้ที่ Comment นะจ๊ะ  ... อุ่นจะถามมาเขียนให้จ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เมื่อใจออกวิ่งไปกับพี่ตูน บอดี้สแลม

ในวันที่พี่จรัญส่งรูปโปรพี่ไก่มา โดยไม่บรรยายสรรพคุณ  สกุลใด  พูดเลย ว่าอุ่นอยากนัดทันที เพราะถ้าชื่อ จรัญ พูลสวัสดิ์ การันตี รับรองมีดีมาให้ชาวโลก ได้ชื่นหัวจิตหัวใจทั่วกัน

เช้าวันนั้น ณ สวนสาธารณะเมืองกรุง_สวนหลวง ร.9 สะดุดตาที่ขาเรียวๆ ของนักวิ่งมาราธอนคนสวย ผิวเข้ม มองลงไปถึงเท้า เจอร้องเท้าวิ่งสุดเทห์ asic GT2000 ที่รับน้ำหนักขาเรียวๆ นั้น เตะอย่างแรงเข้าที่ตาทั้งสองข้าง แล้วมองย้อนกลับมาทั้งร่าง  อุ๊ต๊ะ ... เซ็กซี่อ่ะ  ... ชอบจัง สำหรับอุ่นยกให้โปรพี่ไก่ เป็น Sexy & Smart Sport Girl ในใจเลย
สำหรับสาวๆ หากกำลังหาแรงบันดาลใจในการออกวิ่งหรือออกกำลังกาย เรื่องราวต่อไปนี้น่าสนใจที่สุดในโลก
ส่วนหนุ่มๆ และชาวโลกทุกคนที่รักเธออยู่แล้ว ก็จะรักขึ้นจนล้นอก  แต่ขอกระซิบบอกดังๆ ก่อนนะว่า หนึ่งในใจเธอ คือ พี่ตูน บอดี้สแลม
มา ค่ะ มาตะลุยหัวใจนักวิ่งคนสวย ที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่า ไก่...จินตนา  เกตุเพชร  นักวิ่งคนสวยขวัญใจช่างภาพมหาชน

เริ่มวิ่ง ... เมื่อสองปีที่แล้ว

โอ้โห !!! สองปีเอง แต่โปรฯ มากเลย  แบบนี้ต้องมีโค้ชป่ะคะ
ตอนแรกก็เป็นพี่จรัญ เราเห็นพี่เขาที่งานสวนหลวงนี่แหละ และเราคิดว่าเขาต้องเก่งแน่ๆ เพื่อนในเฟสบุ๊คเราเป็นเพื่อนพี่จรัญ ก็เลยหาพี่จรัญในเฟส ปรากฏเจอ ก็ได้เป็นเพื่อนเฟสกัน

พี่จรัญก็สอนการเตรียมตัว ก่อนวิ่ง วิ่ง หลังวิ่ง (สังคมดีๆ ทาง Social Network น่าจะให้พี่สรยุทธเอาออกเรื่องเล่าเช้านี้เนอะๆ) แต่พี่จรัญมีครอบครัวต้องดูแล ไม่ค่อยมีเวลาสอน จึงแนะนำให้รู้จักกับพี่การุณ พี่การุณก็พาไปรู้จักสนามต่างๆ  แนะนำทุกสิ่งที่ใช้วิ่งมาราธอน


ก่อนมาวิ่งเป็นคนออกกำลังกายอย่างอื่นมั๊ย
ออกกำลังกายฟิตเนส แล้วก็มีวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า แต่ไม่ได้วิ่งมากมายอะไร เต็มที่ก็ 5 กก. ก็แค่ออกกำลังกายไปเรื่อยๆ สนุกๆ  ส่วนออกกำลังกายกลางแจ้งหรือมาในสวนหลวงแบบนี้ เราไม่ชอบเลย เรารู้สึกว่ามันร้อน มันมีเหงื่อ โอย ไม่สบายตัว แล้วก็มีแต่อากง อาม่า มันรู้สึกแก่ๆ นะ ถ้ามาสวน (กิริยาเธอบอกชัดว่าไม่ชอบจริงจังมาก)


ไม่ชอบ แต่วิ่งมาราธอนเป็นกีฬากลางแจ้งชัดเจน แล้วไปไงมาไงถึงมาวิ่งให้เหงื่อท่วมตัวแบบนี้ได้ล่ะจ๊ะ
(ชัดเจนในคำตอบ) ครั้งแรกลงมินิมาราธอน (10.5 กม.) ไม่เคยวิ่งระยะนี้มาก่อน และไม่ได้ซ้อม เพื่อนบอกว่าพี่ตูน บอดี้สแลมจะไปวิ่งงานนี้  รู้ปุ๊บ ตัดสินใจสมัคร แต่พี่สาวบอก ไม่ต้องวิ่งหรอก ไว้ไปรอหน้าเส้นก็ได้ แต่เรายืนยันที่จะวิ่ง รอหน้าเส้นมันไม่อิน ไม่ได้ฟีลน่ะ  ... เราดีใจนะ ได้ถ่ายรูปกับพี่ตูน มันปลื้มปริ่มที่ใจ (เรานั่งคุยกันบนลานหญ้าค่ะ เมื่อคุยถึงพี่ตูนแบบนี้ คงไม่ต้องเดานะคะว่าต้นหญ้าถูกเด็ดจากดินไปกี่ต้น ... อิอิ (ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยถ้าพี่ตูน อยู่ใกล้ๆ คงโดนเด็ดเหมือนต้นหญ้า)
อิ่มอกใจที่ได้เจอพี่ตูน แต่เจ็บ ปวดขาไปเลย เพราะไม่ได้เตรียมตัวสำหรับวิ่งเลย  ก็เลยพักยาวไปสามเดือนโดยไม่ได้ลงสนามซ้อมวิ่งเลย แต่เข้าฟิตเนส เล่นเวท โยคะ วิ่งบนลู่นิดหน่อย แต่ให้เข้าสวนก็ไม่เข้า เหตุผลอย่างที่บอกไว้เมื่อกี้แหละ
(คุณผู้อ่านคะ แรงบันดาลใจ ไม่ว่ามันจะคืออะไร แต่เมื่อมันมีอิทธิพลทำให้เราลงมือทำอะไรบางอย่าง อุ่นว่าชีวิตมันสนุกและก็มีเสน่ห์นะ ... ลองหาให้เจอสักอย่าง ลงมือทำ แล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ)

กับเหตุผลที่วันนั้นวิ่งเพราะอยากเจอพี่ตูน  แต่วิ่งมาสองปีแถมได้ถ้วยทุกสนาม ดูมันไม่น่าจะเกี่ยวกันเลย
มันเกี่ยวนะ มากด้วย (ท่าทางหนักแน่นในคำยืนยัน) พี่พัฒนานะ เขาพัฒนาเป็น 21  กิโล เราก็ต้องพัฒนา เฮ้ย!!!  เขาไป 21 แล้วเราจะมา 10 อยู่ไม่ได้ เขาไปมาราธอน  42 โล เฮ้ย ฉันก็ต้องไปเหรอ(เกือบมีเงื่อนไข แต่แรงบันดาลใจมันใหญ่มากกกก) โอเคมาราธอนก็มาราธอน  แต่เราไม่ได้ไปวิ่งกับเขาทุกสนามหรอก แค่เราติดตามว่าเขาพัฒนาไปถึงไหน เราก็พัฒนาให้ทันเขาเพราะตั้งใจไว้ มุ่งมั่นว่าสักครั้งนึงจะวิ่งไปด้วยกันกับเขาในระยะมาราธอน  (ย้ำนะคะ) วิ่งไปด้วยกัน  เฮ้ย ! (ลากเสียงเฮ้ยยยยแบบนุ่มๆ) ... เวลาวิ่งด้วยกันมันต้องใช้ลมหายใจในจังหวะเดียวกันอ่ะ คิดดูสิ มันต้องมีความสุขสิ (สีหน้าและแววตาฟินได้ใจค่ะคุณผู้อ่านขา อุ่นล่ะอยากให้พี่ตูนอยู่ด้วยในวินาทีตรงนี้จริงเล๊ยยยย)
เขารู้มั๊ยว่าพี่ปลื้มเขา
เขาก็คงคิดว่าเราเหมือนแฟนคลับทั่วไป  และเราจะเขินน่ะเวลาเจออ่ะ ปีที่แล้วก็เจอที่งานสวนหลวง  แต่พี่มาถ่ายรูปไม่ได้วิ่ง ก็ได้ถ่ายรูปกับเขา  และตอนนี้พี่ตูนก็ไปไตรกีฬาแล้ว แต่ไม่เป็นไรนะ ไว้ไว้ค่อยวิ่ง 42 โลด้วยกัน นะ อ่ะ นะ คิดดูสิได้อยู่กับคนที่เราปลื้อมตั้ง 4 ชม. กับระยะทาง 42.195 กม. มันมันต้องมีความสุขมากมายแน่ๆ (พลางก็ยังคงเด็ดทึ้งหญ้าน้อยตรงที่นั่งติดคามือมาหลายต้นเลยค่ะ)

ซ้อมวิ่ง ลงวิ่ง พร้อมมีรางวัลการันตีมากมาย เรียกว่าเสพติดการวิ่งได้มั๊ย
เรียกว่าตั้งเป้ามากกว่า  คือตั้งใจว่าปีนึง ต้องวิ่งฟูลมาราธอน  3 ครั้ง (42.195 กิโล) ก็ซ้อมตามที่ใจอยากซ้อม แล้วก็ลงแข่ง

ทำไมต้องวิ่งหรือตั้งเป้าด้วย ไปเที่ยวเล่น ดูหนังฟังเพลงก็สนุกนะ
มันท้าทาย (ท่าทางเข้มแข็งจริงจัง) แล้วพอวิ่งเสร็จแล้วเรารู้สึกเหมือนฮีโร่ ...เราพูดกับตัวเองว่า เฮ้ย !  ทำได้ เก่งอ่ะ ตอนวิ่งอยู่ในสนาม เราก็ดูนาฬิกา พอมันทำได้ตามที่เราตั้งใจ ก็เฮ้ย ! ชมตัวเองว่าเยี่ยม ว่าทำได้นะเว้ยไก่ ชมในระหว่างที่วิ่งนั่นแหละ  มันแจ๋วนะ พอตรงไหนที่มันไม่ได้ เราก็หาวิธีแก้ไข แล้วก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อให้วิ่งได้ดีขึ้นน่ะ  คือทำให้เราเป็นคนกล้าคิดกล้าตัดสินใจ กล้าออกแบบว่าเราจะทำยังไงให้รอด 42.195  กิโล เหมือนทำข้อสอบนะ  อาจารย์ติวมา แต่วันสอบต้องสอบเอง ในสนามวิ่ง ก็ต้องวิ่งเอง ในสนามวิ่ง อาจจะเจอปัญหาตะคริว  เหนื่อย ล้า ไปไม่ไหว ในวันที่ลงสนามเราจะรู้วันนั้นแหละว่าเราเจ๋งแค่ไหน จะแก้ปัญหายังไงให้ตะคริวไม่รัด เหนื่อยไปแล้วทำไง ถ้าลดความเร็วต้องลดแบบไหน ถึงจะถึงในเวลาที่เราต้องการ มีโจทย์มาให้แก้ตลอด พอเราแก้ได้ มันก็สนุกนะ มีความสุขด้วย และตอนนี้ผ่านฟูลมาราธอนมา 3 สนามแล้ว เข้าเส้นชัย 1 ใน 5 ทุกสนาม


 ได้ยินมาว่าสำหรับคนที่จะลงฟูลมาราธอน  อย่างน้อยต้องซ้อมให้ถึง 30-35 กม.  พี่ไก่ซ้อมถึงมั๊ย  
30 กม. คือระยะทางขั้นต้นที่ควรซ้อมให้ถึง และก็ควรจะถึง 35 กม. กม.ที่ 35 เขาเรียกว่าระยะชนกำแพง  คือ นักวิ่งหลายคนพอถึง 35 ใจจะบอกว่า จะไปหรือไม่ไป ระยะแรงหมด คนที่วิ่งมานานแล้ว จึงซ้อมเกิน 35 ส่วนพี่ซ้อมถึง 30   
พูดถึงคนที่ชนกำแพง ไปต่อไม่ได้เนี่ย  จริงๆ แล้ว มันมีสัญญาณเตือนก่อนแล้ว แต่ไปฝืนเขา อันที่จริงถ้าฟังเสียงร่างกายแล้วได้ยินสัญญาณส่ออาการต้องตัดสินใจแล้วว่าจะบริหารยังไง ถ้าเป็นพี่ไก่ พี่ไก่ก็ลดความเร็วลง พอดีค่อยขึ้น ก็ค่อยเร่งขึ้นไปใหม่ ถ้ามันไม่หาย ก็เปลี่ยนวิธีก้าว วิธีวิ่ง หนึ่งกิโลผ่อน หนึ่งกิโลวิ่ง  อะไรประมาณนี้ ฟังเสียงร่างกายแล้วบริหารให้เขาอยู่กับเราได้ ก็ปลอดภัย วิ่งเข้าเส้นชัยได้ รุ่งขึ้นก็ตื่นมาใช้ชีวิตปกติได้ แต่บางคนไม่ฟังสัญญาณ พอ 35 ก็หยุด ยอมรับระยะชนกำแพง แต่บางคนวิ่งต่อ แต่วิ่งเร่ง เข้าชนะนะ แต่อาจบาดเจ็บ พรุ่งนี้อาจวิ่งไม่ได้ หรืออาจต้องหยุดวิ่งไปเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนก็มี ส่วนพี่ไก่ บริหารให้วิ่งมาราธอนได้ และใช้ชีวิตได้สนุกปกติแหมือนเดิมนะ เพราะถ้าฝืน สิ่งที่ตามมามันไม่คุ้ม  มองคู่แข่ง ถ้าข้างหน้าเราขึ้นแซงไม่ได้ เราก็มองข้างๆ มองข้างหลัง ถ้าข้างหลัง เขาอยู่ห่างเรามากเขาไล่ไม่ทันอยู่แล้ว  เราก็ผ่อนให้ช้าลงสักหน่อยได้นิ แม้ว่าเป้าหมายเวลาจะต้องเปลี่ยน ก็ดีกว่าบาดเจ็บ เพราะร่างกายเขามาเตือนให้เรารักษาเขาไว้ไง  ถ้าเขาเหนื่อยเขาไปไม่ไหว งานหน้าก็มี เอาใหม่ แต่อย่างน้อยการลงสนามก็ทำให้รู้รสชาติไง


มีเรื่องสนุก หรือเรื่องที่เป็นความทรงจำในสนามแข่งมั๊ย
มี
วิ่งมาราธอนครั้งแรก คือ ลานสกาปีที่แล้ว ร้องไห้หนักมาก  คือ รุ่นพี่นักวิ่งเขาบอกเราว่าวิ่ง 42 เนี่ย ตะคริวจะรัดขา มันจะเจ็บทรมาณมาก มันจะทำให้เราวิ่งไม่ได้  เราเลยคิดว่าเดี๋ยวเราต้องเป็นตะคริวแน่ๆ  พอถึง กม. 21 โล ตอนกลับตัว  เริ่มมีกล้ามเนื้อกระตุก เราก็เริ่มโวยวาย ฟูมฟาย ฉันไปไม่ได้ พี่หนูเจ็บ แม่มาเชียร์แม่รออยู่นะ ร้องไห้โวยวายมาก  แล้วก็เดิน   ก็กัดฟัน ค่อยๆ วิ่งช้าๆ ไปๆๆๆ เฮ้ยก็วิ่งได้นี่นา ไม่มีอะไรที่ทำให้วิ่งไม่ได้เลย แถม  5 โลสุดท้าย ก็เร่งวิ่งได้ ไม่มีตะคริวด้วย เรื่องนี้บอกเราว่า รู้ก่อนดีนะ แต่ถ้าไม่มีสติก็ทำให้เรากลัว พอกลัว เราก็กำหนดแบบอัตโนมัติไปเลยว่า ฉันจะต้องเป็นตะคริวๆ เลยเสียเวลาไปเลย
จะบอกว่าที่การมโนไปเอง แบบไม่มีสติ แล้วทำให้เกิดการเสียใจ ถอดใจ ถอย มันเสียโอกาสนะ  แค่นาทีเดียวก็เสียโอกาส ใจถอดนิดเดียว แต่มันเสียหายเยอะ ใจมันสำคัญนะ ใจมันกำหนด แค่ไม่ถึง 1 นาที ก็เสียเวลาเยอะ ดังนั้น เรื่องนี้สอนให้เรามีสติในทุกเรื่องของชีวิตนะ  ...    แต่จะบอกว่า พอเข้าเส้นชัยกอดแม่เสร็จ  มันมาเลย ตะคริวมาเป็นลูก  เจ็บมา  ร้องไห้ของจริงเลยทีนี้ (555x)


พี่ไก่บอกว่ามักงอแงไม่ค่อยชอบซ้อม แต่ทำไมถึงเข้า 1 ใน 5 ได้ทุกครั้ง 
ใจมันอยาก ต้องไป มันต้องถึง ถ้าไม่ถึง คือ ความล้มเหลว (สีหน้ามุ่งมั่นจริงจังเมื่อเอ่ยประโยคนี้) ใจเราไป ขาก็ต้องไป มันจะถึงแบบไหน จะเดินหรือวิ่งแบบไหนก็ให้ถึง แต่สำหรับพี่ถึงแล้วไม่พอ มันต้องได้ด้วย (ได้ 1 ใน 5)  
อย่างช่วงปลายปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ซ้อม(พ่อเสีย) แต่เราสัญญากับพี่ๆ กลุ่มพี่จรัญ  ไว้แล้วว่าเราจะมาวิ่งเดือนมกรา (มกราคม 2558) ไม่ได้ซ้อมแต่มาตามสัญญา  ลงสนาม แต่บอกพวกพี่ว่าไม่ต้องรอ เราอาจจะวิ่งด้วยเดินด้วย แต่ปรากฎเข้าเส้นชัย 1 ใน 5 คนแรก ใจเรากำหนดขาเรานะ ว่าถ้าติดเบอร์แล้ว ต้องถึง และต้องเข้า 1 ใน 5 และก็ไม่มีนะว่าลงไปงั้นๆ  เดี๋ยวก็เข้าเองไม่มีอารมณ์แบบนี้ มีแต่ใจที่ตั้งให้ถึง ให้เข้าได้ตามเป้า


เห็นกลุ่มนักวิ่งไปไหนไปด้วยกัน ดูแลกันน่ารัก ดูเหมือนว่ากีฬาทุกอย่างสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี และวงการวิ่งมาราธอนก็เหมือนกันใช่มั๊ย
ใช่ อย่างที่วิ่งเมื่อเดือนมกรา ที่เราไม่ได้ซ้อมน่ะ วันแข่ง มีพี่บังอรวิ่งอยู่ด้านหลังคอยดูแลเราอยู่ แต่เราไม่รู้ มารู้ตอนประมาณ กม. 27 มีคนทักพี่บังอร เราถึงได้รู้ว่าเรามีคนอยู่ข้างๆ  เราดีใจนะ พี่ๆ ในสวนจะคอยดูแลนะเวลาเราไปแข่งน่ะ มันเป็นมิตรภาพ ถึงแม้จะเป็นคนล่ะรุ่นกัน ไปต่างจังหวัดก็ดูแลกัน พี่จรัญ พี่น็อต เฮียย้ง พี่การุณ พี่องศา  นอน กิน อยู่ ผูกพันกัน เหมือนญาติกันไปแล้ว 
การออกกำลังกายนอกจากได้ประโยชน์ที่เกิดขี้นตรงร่างกายแล้ว เรายังได้เพื่อนดีๆ น่ารักๆ เยอะแยะไปหมด สังเกตดูจะเห็นว่าถ้าใส่ชุดนักกีฬามา จะรู้จักกันง่าย ไม่รู้จักกันก็ทักกัน  อาทิตย์นี้ไปวิ่งไหนกัน  อาทิตย์หน้าไปนี่มั๊ย ไปโน่นมั๊ย สังคมมันก็จะกว้างขึ้นนะ เราก็จะได้รับคำแนะนะ หรือความช่วยเหลือ มันมี คอนเน็กชั่นที่น่ารัก แล้วก็พี่ไม่ได้วิ่งอย่างเดียวพี่มีถ่ายรูปด้วย มันก็จะทำให้รู้จักนักวิ่งมากขึ้น

เห็นในเฟสบุ๊ค เหมือนว่าพี่โปรไก่จะชอบเดินทางท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ  แต่พ่อมาวิ่งแบบนี้ ดูเหมือนจะอยู่กับพี่ๆ นักวิ่งอายุ 50 เป็นส่วนใหญ่ มันสนุกยังไง ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ น่าจะสนุกกว่านะ
ใช่เราชอบเที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวไปถ่ายรูปไปเราชอบมาก  มันก็มีอารมณ์แบบรักพี่เสียดายน้องนะ พอเพื่อนๆ จะจัดทริปเที่ยวกัน มันก็ตรงกับมีวิ่ง  เราก็เลือกวิ่ง เรื่องเที่ยวก็หายไป  แต่ทีนี้มันสนุกตรงที่พอมีวิ่งต่างจังหวัด เราไปเลยไม่ลังเล ลิงโลดเลยล่ะ เราชอบมันได้สองอย่าง แล้วเวลาวิ่งนะมีความสุขมาก ร่างกายหลั่งสารความสุขออกมาเล่นกันเกรียวกราว
(ความสุข เกิดขึ้นได้ง่ายจริงๆ นะคะคุณผู้อ่านขา แค่เบิกตา เผยใจ พุ่งเข้าใส่อะไรสักอย่าง เดี๋ยวอะไรอีกหลายอย่างก็จะร้อยเรียงเข้ามาให้เอง)

เทคนิควิ่งให้ชนะของพี่ไก่ เป็นแบบไหน
ในสนามแข่ง เราจะฮึกเหิมนะ เขาไปเราก็ไป  ลงแข่งใช้แรงน้อยด้วยนะ คือ  วิ่งใกล้คนชนะน่ะ วิ่งตามคนที่มี สเต็ปใกล้เคียงกัน  อย่างพี่วิ่งใกล้พี่จรัญนะ เขาวิ่งข้างหน้าพี่ก็วิ่งตามอยู่ข้างหลัง สมองไม่ต้องคิดว่าจะต้องวิ่งยังไง แค่วิ่งให้ทัน พลังงานไม่ต้องไปใช้กับการคิด แค่มาใช้กับการวิ่ง ผ่อนแรงไปเยอะนะ

แล้วก็คืนก่อนวิ่ง ปล่อยวางทุกอย่างเลย แผนว่าจะต้องวิ่งยังไง ไม่อยู่ในหัวแล้ว ตื่นเช้ามาก็แค่ออกไปลงสนาม แล้วก็วิ่งให้มีความสุข อยู่แต่กับลมหายใจเท่านั้น ไม่บังคับขา ไม่บังคับอะไร  มีสมาธิกับตัวเอง ฟังเสียงขา  คอยเช็คว่า ขาฉันไหวมั๊ย ถ้าไม่ไหวต้องปรับยังไง ลมหายใจของฉันเหลือพอที่จะไปต่อมั๊ย ควรจะต้องผ่อน หรือเร่งได้ยังไง แล้วก็แค่วิ่งไป


การเลือกรองเท้าวิ่งสำคัญมาก พี่ไก่ช่วยแนะนำนักวิ่งมือใหม่เลือกรองเท้าหน่อยสิจ๊ะ
มีสัก 2 คู่นะ เป็นรองเท้าซ้อมกับรองเท้าสำหรับแข่ง จะต่างกันตรงที่  รองเท้าแข่งจะเบา ยกขาได้เบาขึ้น ช่วยให้วิ่งเร็วขึ้น  แต่การเซฟข้อเข่าจะน้อย แต่ยังไงเราก็ไม่ได้แข่งบ่อย
ส่วนรองเท้าซ้อม เราซ้อมบ่อย รองเท้าต้องมีเจลรองรับการกระแทก รองเท้าที่มีเจลกันกระแทกก็จะมีน้ำหนักมากกว่า แต่น้ำหนักนี้ก็ช่วยให้กล้ามเนื้อขาเราแข็งแรง

มาราธอนให้อะไรกับชีวิต
แน่นอนล่ะ
ร่างกายเฟิร์มนะ วิ่งมาราธอนเนี่ย เราดูแลเรื่องการกิน กินผัก ผลไม้ ถั่วมากขี้น มันก็ดีต่อสุขภาพ  เราอยู่กับพี่นักวิ่งเนี่ยเขาดูแลเรื่องอาหารมาก เราก็ซึมซับเป็นไปด้วย มันก็ง่ายๆ ไม่ยากเลยนะ แถมดีกับสุขภาพด้วย สุขภาพมันของเรานะ  อุตสาห์ออกกำลังกายแล้วนะ ถ้ายังไปกินพิซซ่า ฯลฯ มันเสียดายนะ  มันไม่ใช่ได้แค่กำลังกายนะ ทุกอย่างมันดีแบบองค์รวมด้วยนะ  เรื่องนอนก็นอนเร็วขึ้น  เพราะเช้ามาต้องซ้อม  เที่ยวกลางคืน ก็ไม่ไปเลย มันดีมาก

และที่สำคัญคือ มันคือความสำเร็จในด้านนึงของชีวิต ถ้าทำได้คือสำเร็จ ทำไม่ได้คือแ พ้ เกิดมาอยากแพ้หรือชนะเราก็เลือกได้ จริงๆ มันไม่ต้องมาราธอน มันเป็นเรื่องอะไรก็ได้ แต่เมื่อคุยกันเรื่องการวิ่ง สุดยอดของมาราธอนเบื้องต้นคือ 42 โล และมันมีระยะทางให้เราท้าทายหลายรูปแบบนะ  พอทำได้เราดีใจมาจากส่วนลึกๆ เลยนะ แล้วถ้าเราทำได้แบบนี้ อย่างอื่นในชีวิตเราก็ทำได้นะ ถ้าเรามีเป้าหมาย มีแผน และลงมือทำ ทุกอย่างนะ มันถึงอยู่แล้ว

มาราธอนก็มีทั้งคนถึงช้าถึงเร็ว  แต่ยังไงก็ถึง  จะถึงช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายนะ ว่าแต่ล่ะคนมีเป้าหมายเพื่ออะไร เพื่อฉั้นอยากพิชิต  42 ใช้เวลาเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้ฉันวิ่งแล้วมีความสุข ไม่เจ็บไม่ปวด วิ่งเสร็จใช้ชีวิตเที่ยวได้ กินได้ปกติเหมือนก่อนวิ่ง หรือ ฉันต้องได้ถ้วย ต้องเวลาเท่านี้ แต่แลกกับวันรุ่งขึ้นอาจต้องพักฟื้นหลายวันก็ไม่เป็นไร  ก็ขึ้นอยู่กับใจ  อยากมีรางวัลการันตีว่าฉันก็เก่งนะ หลายคนก็วิ่งฟรุ๊งฟริ๊งแบบสนุก มีความสุข วิ่งแบบไหนก็วิ่งไปเอาตามใจสุข  แค่วิ่งถึงก็ชนะแล้ว

จากแรงบันดาลใจที่ปลื้มปริ่มพี่ตูน บอดี้ สแลม นำพานักวิ่งคนสวย Sexy & Smart Sport Girl มาจนได้ถ้วยรางวัลทุกสนาม อุ่นและชาวไทยทุกคน หวังใจว่าอีกไม่นาน เธอ(จินตนา เกษเพ็ชร) และ เขา (ตูน บอดี้ สแลม) จะได้ร่วมหายใจในท่วงทำนองเดียวกันในสนามฟูลมาราธอน ที่ อุ่น...ปรมตํ จะนั่ง นอน รอรับอยู่ที่เส้นชัย...นะ  (อยากเห็นโปรพี่ไก่เป็นนางเอก MV ให้พี่ตูนซะแล้ว)


แล้วพบกันหนหน้าเมื่อฟ้าส่งดาวดารามาถึง
สวัสดี


อุ่น ปารมิตา  ชูเกียรติมั่น