วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พี่องศา ศรเล็ก "ถูกตัดรอนจากสนามบอล สู่การเป็นแชมป์เปี้ยนในสนามวิ่ง"

อ่านจบแล้ว จะรู้ว่า การเป็นแชมป์ ไม่มีอะไรยุ่งยาก ไม่ต้องตีลังกาท่าพิสดาร ... แค่ความเรียบง่าย สม่ำเสมอ ด้วยหัวใจที่เอาจริง แค่นี้จริงๆ !!!

เช้าวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2558 ณ สะพานใบบัว สวนหลวง ร.9 กับสภาพอากาศเบาไปทางไม่มีลม  หากแต่ ณ ที่นี้ พี่องศาก็หอบเอาลมลีลาการสนทนาพาทีในแบบเย็นๆ มาเจรจาประสามาราธอนให้ฟังกันหอมปาก รื่นหู จนร้องอู้ หู !!! อยากออกวิ่งกันเลยทีเดียว ...
30 นาที  สั้นที่สุดเท่าที่อุ่นเคยบันทึกเสียงนักวิ่งมา 555x (นาทีที่ 30 จบลงตรงที่พี่องศาพูดว่า พอแล้วมั๊ง... สั้น กระชับ ชัดเจน มีพลังค่ะคุณผู้อ่านขา) และสั้นนี้ชัดเจนไปด้วยฝีเท้าหนักๆ ที่เข้าเส้นชัย  1 ใน 5 อันดับแรกมาตลอดประมาณเกือบสามสิบปี จึงขอนิยามพี่ชายนักวิ่งคนนี้ว่า พี่องศา  ศรเล็ก แชมป์เปี้ยนฝีปากเบา แต่ฝีเท้าชัดเจน


เริ่มวิ่งด้วยแรงบันดาลใจอะไร และตอนอายุเท่าไหร่คะ
เริ่มตอนหนุ่มๆ เลย อายุประมาณ  27  แต่ตอนนั้นเริ่มจากไปเตะบอลนะ เรามีแรงน่ะ แรงเยอะมาก เราก็อยากเล่นกีฬา ก็ไปสวนลุมนะ เห็นเขาเตะบอลกัน เราก็เข้าไปเตะ แต่เขาไม่ให้เราเป็นตัวจริงเลย เขาบอกเทคนิคเราไม่ได้ ให้เป็นตัวสำรอง ไม่เคยได้ลงแข่งเลย เราก็น้อยใจนะ โมโหด้วย (พร้อมหัวเราะเย็นๆ 555x)  แล้วเราก็เห็นนักบอลเขาวิ่งนะ วิ่งสองรอบของสวนลุมน่ะ (1 รอบ = 2.5 กิโล)  เฮ้ย ! เค้าวิ่งได้ เราก็มีแรง เอา เอา เราก็ลองวิ่งบ้าง ก็วิ่งได้  แต่เรื่องวิ่งมาราธอนเนี่ยเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็แค่วิ่งไป เพราะแรงมันเยอะ (ท่าทางชัดเจน  เชื่อได้เลยค่ะว่าแรงเยอะจริงๆ ค่ะคุณผู้อ่าน) เราก็เห็นเขาวิ่งกันเป็นกลุ่มๆ  น่าสนุกนะ แต่ไม่รู้ว่ากลุ่มอะไร แล้ววันนึงก็เห็นเขาเดินแจกกระดาษอะไรบางอย่าง เราก็ไปเอามา อ๋อ ! ถึงได้รู้ว่ามันมีตารางแข่งวิ่ง พอรู้แบบนั้นแล้ว ก็ซ้อมวิ่งเลย
ไม่เกิน 2 อาทิตย์หลังจากนั้น ก็ลงสนามแข่งเล๊ยยยย  ระยะทาง 4 รอบสนามสวนลุมฯ คือ 10 กิโล ..... เรามีแรงนะ ซัดเต็มที่เลย ...... ปรากฎ จอดครับ จอดที่รอบที่ 3 ครับ มันเหนื่อย หมดแรง หายใจไม่ทัน  ถอดเบอร์ออก ไม่เอาเหรียญ  ถอนตัวเองเลยครับ ไม่งั้นอายครับ (แล้วก็หัวเราะชอบใจ)


มันเป็นอย่างนี้ คือ เราเป็นประเภทที่แรงเยอะ ก็เข้าใจว่ามีแรงเท่าไหร่ก็ใส่ไปๆ แล้วก็ซ้อมน้อยด้วย  แต่มันไม่ใช่ มันไม่ถูกนะ (สำหรับนักวิ่งมือใหม่ควรระวัง หายใจไม่ทัน อันตรายค่ะ)

ทีนี้ก็เอาล่ะ ไปหาซื้อหนังสือสอนวิ่งมาอ่าน แล้วก็ฝึกตามที่หนังสือเขาแนะนำ แล้วก็ได้เวลาลงสนามอีกครั้ง เป็นงานของธนาคารสตางค์แดง ครั้งที่ 1 ปรากฏเราทำได้ดีนะ 10 กิโล ใช้เวลาไม่ถึง 40 นาที ไม่ห่างจากคนที่ได้รางวัลสักเท่าไหร่ ในใจตอนนั้นไม่ได้คิดจะเอารางวัลหรือวิ่งให้ชนะอะไร แต่พอลงสนามนะ เราเห็นคนเขาวิ่งกันได้ แบบแรงดีและเร็ว เราก็ไม่ยอมไง เราก็อยากวิ่งให้ทันเขา มันสนุกนะ (ข้อเท็จจริงที่คนสำเร็จบอกไว้ก็คือ อยากเป็นแบบไหนให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น สถานการณ์นี้คือบทพิสูจน์ที่เป็นจริง ... ไม่ได้อยากแข่ง แต่พอลงไปเจอนักแข่ง บรรยากาศและนักแข่งก็พาไปให้ชนะ ...ชีวิตนี่มันเทห์จริงๆ นะคะ)

พี่องศามีโค้ชมั๊ย
มีเพื่อนๆ ที่วิ่งด้วยกันนี่แหละ ในสนามมาราธอน เราเจอแต่คนดีคนน่ารักมีน้ำใจนะ มีคนเห็นว่าเราวิ่งดี แรงเราก็ดี แต่เรา
ออกแรงเร็วเกินไป มันจึงหมดแรงช่วงประมาณ
3 โลสุดท้าย เขาก็แนะนำให้ซ้อม วิ่ง เบาบ้าง หนักบ้างสลับกันไป เราก็ซ้อมไปตามนั้น แล้วมันก็ค่อยแข็งแกร่งเองแบบอัตโนมัตินะ โดยที่เราไม่ต้องไปเค่นไปเร่งอะไรมัน (ดีจังเลย  เปรียบเหมือนที่ความจริงของชีวิตบอกไว้ว่า เมื่อมีเป้าหมาย แล้วทำสม่ำเสมอ ทุกๆ อย่างที่ทำลงไปจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นชิ้นเป็นอัน หรือเป็นความสำเร็จให้เราได้ชื่นใจเสมอ)  
เทคนิควิ่งให้ชนะเมื่อลงสนามแข่ง
ง่ายๆ นะ เราก็วิ่งเกาะคนกลุ่มแรก ถ้าวิ่งเกาะกลุ่มแรกไม่ทัน เราก็เกาะกลุ่ม 2 เราก็วิ่งแบบนี้มาจนเราถึง 1 ใน 5 นี่แหละ
แต่เราต้องระวังนะ เพราะเรากับเขาซ้อมมาไม่เหมือนกัน บางคนเขาวิ่งเร็ว ช้า  ช้า เร็ว  สลับกันตามจังหวะของเขา
ถ้าเราไปตามเขาทั้งหมด บางทีร่างกายเราไม่ไหวนะ  ดังนั้น ถ้าจะวิ่งเกาะ ก็วิ่งเกาะคนที่วิ่งใกล้เคียงกัน ไม่ไหวก็อย่าไปฝืน อันตราย  วิ่งมาราธอนน่ะ เขาให้วิ่งให้ถึง วิ่งถึงก็ถือว่าผ่าน ส่วนเวลา จะถึงเร็วหรือช้า อย่าเพิ่งไปสนใจ วิ่งให้มีความสุข ให้สนุกตามแรงของเรานะ จะเดินเข้าเส้นชัย ก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร แค่เดินให้ถึงก็พอได้เหรียญเหมือนกัน (แล้วก็ยิ้มเย็นๆ )

ไม่ต้องไปซีเรียส วิ่งไป แล้วเดี๋ยวร่างกายแข็งแรงเอง  อย่างผมลงฟูลมาราธอนเนี่ย ไม่เคยซ้อมถึงหรอก แต่ซ้อมบ่อย วิ่งสม่ำเสมอ วิ่งบ้างเดินบ้างมันได้เอง  ผมลงฟูลมาราธอน ( 42 กิโล)  แต่ซ้อมไม่เคยถึงหรอก แต่ซ้อมบ่อย วิ่งสม่ำเสมอ ให้แข็งแรง   วิ่งบ้างเดินบ้าง มันได้เอง


ตั้งแต่วิ่งสนามสตางค์แดง หลังจากนั้นลงแข่งทุกสนามมั๊ยคะ
เกือบนะ เกือบทุกสนาม ตามเวลาที่เราลงได้น่ะ เรามีแรงน่ะ เราอยากออกแรงไง แรงมีแต่เทคนิคไม่มี  มาเจอเทคนิคตอนวิ่งมาได้สัก 3 ปี อายุประมาณ 30  เริ่มเห็นแววตัวเองว่าสามารถวิ่งเข้า 1 ใน 5 ได้นะ คือ เราวิ่งได้ใกล้เคียงคนชนะน่ะ ถ้าเขานับ 1 ใน 5 เราก็เข้าที่ 6 เขานับ 1 ใน 10 เราก็เข้า 11 แบบนี้เราก็เลยรู้เทคนิคเลยว่าจะชนะยังไง  555x เขาวิ่งหนีเราก็วิ่งตาม แล้วพออายุประมาณ 35 นะ ทุกสนามเราเข้า 1 ใน 5 หมด  แล้วก็ไม่ออกตัวเร็วเกินไป เราต้องรู้จักผ่อน วิ่งตามคนอื่นนั่นแหละ แต่ต้องรู้แรงตัวเอง ไม่ต้องตามทั้งหมด เดี๋ยวจะร่วงเอานะครับ (อิอิ)


วิ่งๆ อยู่ในสนามแข่งมีถอดใจ ... ไม่เอาละ ... มีมั๊ยคะ
ถอดใจไม่มี  ถ้าจะมีก็เพราะเจ็บ แต่ไม่เคยมีเจ็บหรอก เพราะก่อนแข่งเราก็ซ้อม
เวลาวิ่งน่ะ อย่าไปคิดว่า
3 โล แล้ว 5 โลแล้ว หรือเพิ่ง 3 โล 5 โล อย่าไปคิดว่า โอ้โห ! อีกตั้งเท่านี้เท่านั้นโลวิ่งไป อย่าไปคิดใช้เวลาอยู่ตรงก้าวเราตรงนั้นแหละ คุยกับคนข้างๆ ไป แป๊บเดียวก็ถึง คุยกันเพลินๆ ไป เกาะคนนี้ไปหน่อย ลากคนนั้นไปบ้าง ใครทักก็คุยกับเขาไป มันจะเพลิน เอ้า ถึงเส้นชัยแระ  ถ้าวิ่งไม่ถึง ก็เดินให้ถึง เข้าถึงเส้นชัยเขานับหมดแหละ จะเดินจะวิ่ง เอาให้ถึง


บางคนอยากวิ่ง แต่พอบาดเจ็บก็ไม่กล้าวิ่ง พี่องศามีอะไรแนะนำมั๊ย
อย่าไปตกใจเวลาวิ่งแล้วเจ็บ ค่อยๆ ดู บางทีอาจจะแค่กล้ามเนื้อกำลังปรับตัว ถ้าไม่แน่ใจก็ไปให้หมอดู จะได้วิ่งสบายใจ

พี่องศาบอกว่าเจออุบัติเหตุเข่าหลุด กระดูกแตกก็ผ่านมาแล้ว แล้วทำไมยังวิ่งอยู่ได้ ไม่กลัวเหรอคะ
ก็ใจเรามันเต็ม 100 ไง เราอยากวิ่ง ครั้งนึง เท้าเราบวมข้างนึงนะ บวมมากๆ  เราก็ไปซื้อรองเท้าคู่ใหญ่มาใส่ข้างที่ใหญ่แล้วก็เดิน นี่แหละมันอยู่ที่ใจ มันก็ยังวิ่งได้ ถ้าไปให้หมอเอ็กซเรย์ก็ไม่ได้เดินไม่ได้วิ่งหรอก หมอห้ามแน่นอน (อิอิ ใจไม่ถึงร้อย อย่าเพิ่งลอกเลียนแบบนะคะ) แล้วเมื่อประมาณ 7 เดือนที่แล้ว มอร์ไซค์ล้ม หัวเข่าหลุด กัดฟัน กดกลับไปเอง เรายังอยากวิ่งได้นะ (อูว แบบนี้ถ้าใจไม่เกินร้อย ก็อย่าเพิ่งลอกเลียนแบบเช่นกันนะคะ)


จากอายุ 27 จนมาถึงวันนี้ วิ่งมาเกือบ 30 ปี กีฬาที่ชื่อว่ามาราธอนนี้มีเสน่ห์อะไรเหรอคะ คือ เราอยากรู้ว่าเราทำได้มั๊ย  เฮ้ยทำได้ แล้วมันก็สนุก แล้วก็มีรางวัลล่อใจนะ  มีถ้วยสวยๆ มีเงิน  ได้รางวัลน่ะดี  แต่ไม่ติดก็ไม่เป็นไร มันสนุก คิดว่าไปวิ่งลากน้องๆ ลากเพื่อนๆ ไปรับ ไปส่งน้ำให้  บางทีกว่าคนของเราจะเข้าเส้น เราก็มีเพื่อนใหม่ไปหลายคนแล้ว มีมิตรภาพ ร่างกายแข็งแรง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน หรือต้องกินอะไรเสริมเป็นพิเศษมั๊ยคะ
ผมชอบกินแบนเนอร์โปรตีนขวดนะ ชอบมันมีแรง มันสดชื่นดี แต่มันแพง (อิอิ) (ก็กินกันได้กินกันไปตามอัตภาพ อะไรประมาณนี้มั๊งคะ) ไม่ได้ดูแลอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่ผมชอบกินผลไม้ กินทุกวันเลย ถ้าขาดไปวันนึงนะ จะลงแดง สัปปะรด แตงโม มะม่วง ชอบมาก ช่วยให้สดชื่นด้วย 

ฝากบางสิ่งถึงคนฝึกวิ่งหน่อยนะคะ
อย่าขี้เกียจ  ทำให้มันเป็นกิจวัตร เหนื่อยก็เดินเอา  พอมันติดนะ วันไหนไม่ได้ออกวิ่งจะกระสับกระส่าย หงุดหงิดนะ ออกมา จะเดินก็ช่าง เดินไป  จะลงแข่งกลง 10 กิโลบ่อยๆ  นานๆ ไป ค่อยเพิ่มระยะให้ไกลขึ้น ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน แค่สม่ำเสมอก็พอแล้วเดี๋ยวร่างกายมันแข็งแรงเอง
ผมฝึกกล้ามด้วยนะ เล่นฟิตเนสบ้าง ต้องเล่นนะ แต่ไม่ให้กล้ามใหญ่ ถ้าใหญ่จะวิ่งไม่ออก เล่นแค่ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ... แล้วคำนี้ก็ออกจากฝีปากพี่องศา แค่นี้แหละ  ... พอได้แล้วมั๊ง !!!”  ( 555 x จบแบบทันทีทันใด ไม่มีสร้อยระย้า) ได้ ได้ ได้ค่ะพี่ ... ขอบคุณมากค่ะ (อิอิ)


ขอบคุณนักพี่องศา  ศรเล็ก นักวิ่ง ฝีปากเบา แต่ฝีเท้าชัดเจน ที่ย้ำให้เห็นความสำคัญของความสม่ำเสมอ และการมีความสุขในระหว่างการลงมือทำ เพราะความสม่ำเสมอและความสุข จะนำพาผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาให้เราได้ชื่นหัวใจอย่างแน่นอน

อุ่นไอ ไทยแลนด์...เรียบเรียง

ปล. มีบทความย้อนหลัง ของพี่ยุ  พี่จรัญ  พี่โจอี้  กับน้องกิ๊กมาฝากด้วย ... เชิญรับความสำราญจากการวิ่งกันตามอัธยาศัยค่ะ
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/blog-post.html
พี่ยุกับ มาราธอน ทอนอ้วน
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/blog-post_5.html
พี่จรัญ พูลสวัสดิ์ กับเสน่ห์มาราธอน
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/60.html
พี่โจอี้ ...
60 ยังแจ๋ว (30 ที่ว่าแจ๋ว ยังอาย !!!

อัลตร้า เกิร์ล วัยละอ่อน กับ ประโยคปักใจ "ถ้ากลัวก็ไม่ต้องลงแข่ง แต่ถ้าลงแล้วก็ต้องไปให้ถึง"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น