วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พี่จรัญ พูลสวัสดิ์ กับ เสน่ห์มาราธอน



สวัสดีจ๊ะคุณผู้อ่านที่รักสุขภาพ และหรือกำลังจะหลงใหลการวิ่ง วันนี้อุ่นพามารู้จักกับ ผู้ชายผิวเข้ม โดดเด่นในสนาม ที่วิ่งเล่นอยู่บนโลกทรงกลม ใบนี้มานาน 52 ขวบปี ... แต่ทว่า  เดินตัวตรงแหน่ว วิ่งหลังตรงเป๊ะ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ (ต้องร้องเพลง ... อุ๊ย ! น่าจะกัดแขนเล่นเบาๆ ...อิอิ) .... พี่จรัญ พูลสวัสดิ์ นักวิ่งที่รักของทั้งสาว และหนุ่ม ณ สวนหลวง ร.9


ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วนะ ... เรามาคุยกับพี่จรัญกันเลย

เริ่มต้นออกกำลังกาย...
ตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ 10 ขวบ ตอนนั้นเป็นคนขี้โรคเลยว่างั้นเถอะครับ ออกไปวิ่งกับพี่ๆ วิ่งเป็นสิบโลเลย แค่วิ่งสนุกๆ  ไม่รู้หรอกว่ามันจะทำให้แข็งแรงขึ้น แต่พอวิ่งๆ ไป ร่างกายก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น แล้วพอช่วง ม.ศ 1 ถึง ม.ศ 3 ตัวก็สูงขึ้นมา 15 ซม. มันสูงปรี๊ดเลยครับ สูงเร็วกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันทั้งหมด พ่อก็สูงไม่เกิน 160 ซม. ประมาณเท่าน้องอุ่นนี่แหละ (อุ๊ต๊ะ ... อุ่นสูงเลย 150 มานิดนึง ... ถ้ารู้ว่าวิ่งแล้วสูงนะ ฮึ่มมม ป่านฉะนี้ เฉิดฉายอยู่บนแคทวอล์คแระ ... อิอิ)
พี่อยากสูง ก็เลยวิ่งมาตลอด พอ จบ ม. 3 ก็มาเรียนกรุงเทพ ออกวิ่งตี 5 ทุกวัน

เมื่อเข้าสู่วัย ทำงาน กิน ดื่ม เที่ยว...
ชีวิตก็มีจุดเปลี่ยน ... เข้าสู่วัยหนุ่มนะ เป็นช่วงทำงาน ก็ปล่อยตัวเอง ชีวิตเป็นวงจรของการทำงาน กิน เที่ยว ทำงาน กิน เที่ยว วนอยู่แบบนี้ ไม่สนใจสุขภาพอีกเลย น้ำหนักจาก 60 ขึ้นเป็น 70 อะ ... ก็ไปออกกำลังกายมันลง แต่มันก็โยโย่กลับมาเป็น 75 เป็นแบบนี้อยู่ประมาณ 3-4 รอบ แล้วมาเล่นกอล์ฟ เล่นกอล์ฟก็ พร้อม Drink Drank Drunk กินเหล้าบ่อย เที่ยว กิน ดื่ม (หัวเราะ 555X ด้วยเหตุผลอะไร ไว้ถามพี่จรัญกันเองนะจ๊ะ) ช่วงกินเหล้าก็แทบไม่ได้ออกกำลังกายเลยเมื่อมาถึงจุดระเบิด (อ้วนค่ะอ้วน)  น้ำหนักขึ้นไปไปที่ 86 กิโล (ปัจจุบัน 73 กิโล) 

ก็กลับมาออกกำลังกายและดูแลเรื่องการกินจริงจัง อีกครั้ง...
ประมาณ 7 ปีที่แล้ว...วันนั้น มันเริ่มต้นจากเครียดเรื่องงานด้วย ทำงานแล้วไม่ได้เงิน สภาพร่างก็อ้วน แถมปวดหัวไมเกรน ช่วงนั้นไม่อยากไปทำงาน เช้าวันหนึ่ง วันแรกก็มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ อยู่ตรงลานแอโรบิค วันที่สองก็ออกเดิน แล้วจู่ๆ สมองก็แว๊บขึ้นมาว่า...เอ๊ะ ! เราเคยวิ่งนี่นา ทำไมไม่วิ่งล่ะ ... เอาล่ะ เลยเริ่มวิ่งอีกครั้ง วิ่งแรกๆ ได้ 2 โล ก็หอบแฮกละ เพราะร่างกายมันยังไม่ฟิต

เอาจริง ... ลงมือศึกษาเชิงลึก...
เวลาพี่จะทำอะไร พี่ต้องรู้จริง ต้องศึกษา ตอนจะตีกอล์ฟ ก็ศึกษาตำรากอล์ฟเป็นตั้งๆ พอจะวิ่งก็หาหนังสือมาอ่าน ศึกษาจากเว็บไซค์ ตำราวิ่งในเมืองไทยยังมีไม่มาก ตอนนั้นพี่อ่านของ นายแพทย์กฤษฎา บานชื่น (วิ่งเพื่อสุขภาพ) เขียนดี อ่านดี ... เริ่มออกวิ่งจริงจัง เริ่มควบคุมอาหาร (วางแผน และทำตามแผน) น้ำหนักก็ค่อยๆ ลดลง จาก 86 กก. มาเหลือ 68 กก. (ตัวเลขน่ารักมาก 555x )


ลงสนามแข่ง...
จากวันแรกที่วิ่ง ก็ใช้เวลา 6 เดือน แล้วมาลงมินิมาราธอน (10.5 กม.) 1 เดือนถัดมาก็ลงฮาล์ฟมาราธอนแรกที่จอมบึง (21.1 กม.) ทำเวลาไป 1 ชม. 50 นาที

ทีนี้เป้าหมายต่อไป อีก 5 เดือน ต้องลงฟูลมาราธอน (42.195 กม.)  พี่ก็ศึกษาวิธีวิ่งจากเว็บไซค์ เขาบอกไว้ว่าก่อนลงแข่ง ให้เราฝึกวิ่งให้ได้ 30-35 กม.สักครั้ง โดยเพิ่มระยะ ทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละประมาณ 10% ของระยะทางเดิมที่เราทำได้ พี่ก็ซ้อมตามนั้น พอซ้อมได้แตะ 32 กิโล ก็เฮ้ย ! เราทำได้ สัปดาห์ต่อมาก็เพิ่มระยะทางขึ้น 10% พี่กลับไปซ้อมที่สุพรรณฯ นะ ไม่บอกใครด้วย (เอ๊ะ ! ทำไมไม่บอก ^_^ ลืมถามค่ะ...อาจทำเซอร์ไพรส์ ?)

สนามแรกที่พัทยา เป็นสนามค่อนข้างยาก ทั้งร้อน เนินเยอะ เขาสูงและยาว แต่ก็ผ่านได้อย่างสวยงาม "เพราะเราวางแผนดี ซ้อมดีไปตามแผน" นี่คือหัวใจ" และเราต้องรู้ต้นทุนตัวเอง ว่าเราสามารถวิ่งด้วยเวลาเท่าไหร่ เลือกเพจที่เหมาะสมกับเรา (เพจ คือ อัตราความเร็วของการวิ่งต่อนาที) มาราธอน เป็นเรื่องของการต่อสู้ทั้งจิตใจและร่างกาย ดังนั้นต้องวางแผน และซ้อมอย่างมีวินัยครับ


กำแพงมาราธอน...?
อ๋อ ... อย่างคนที่วิ่งฟูลมาราธอนส่วนใหญ่เนี่ย จะมีกำแพงอยู่ที่ กม. 35 อาการเหมือนจะถอดใจ แต่ก็ต้องฝึกฝืน มันก็ก้าวข้าม พอก้าวแล้ว มันก็ลืมไปเลย ... อาการชนกำแพงมันมีเนื่องจากว่า 20 กม.แรก ร่างกายเราจะตื่นตัวมาก มันอยากวิ่ง คนส่วนใหญ่ก็เลยวิ่งเร็ว พอวิ่งเร็วในช่วงแรก แรงก็ตกกำแพงมันก็ค่อยๆ มา...

มีข้อเท็จจริงว่า "วิ่งช้าไม่เป็น วิ่งมาราธอนไม่ได้"  เพราะไม่มีใครวิ่งเร็วได้ถึง 42 กิโล วิธีวิ่งให้สนุก สบาย และผ่านกำแพง กม. 35 ไปได้ง่ายๆ นะ 20 กม. แรกให้วิ่งช้าๆ เก็บแรงไว้ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วหลังจากนั้น จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา เข้าเส้นชัยได้สบายๆ เลย
แต่สำหรับพี่ ไม่มีอาการชนกำแพงนะ เพราะพี่วางแผน และตั้งใจต้องไปให้ถึง เวลาวิ่ง จะไม่สนใจอย่างอื่นเลย นอกจากการอยู่กับก้าว และลมหายใจตัวเอง นี่เป็นเสน่ห์อีกอย่างของการวิ่งมาราธอนนะ (หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ ยุบหนอ พอหนอน่ะครับ...อิอิ ...บางคนก็สองก้าวออก สองก้าวเข้า บางคนก็สามก้าวออก สามก้าวเข้า )


แนะนำนักวิ่งมือใหม่ลงสนามสักเล็กน้อย...
เกาะ...
เลือกวิ่งเกาะคนที่วิ่งความเร็วระดับเดียวกัน ไม่เลือกเกาะคนที่เร็วกว่า เราต้องรู้ต้นทุนตัวเราเอง ว่าเราวิ่งเร็วได้ระดับไหน รู้จักสนาม ว่าเป็นทางเรียบ หรือมีขึ้นเขา ลงเนินมั๊ย เพื่อจะได้ฝึกวิธีการวิ่ง การวางเท้า การเตรียมแรง (รู้ต้นทุน วางแผน ทำตามแผน) 

วางเท้า...
คนส่วนใหญ่จะวิ่งลงส้น การวิ่งลงส้นจะทำให้ปวดหัวเข่า "วิ่งมาราธอน ต้องวิ่งเต็มเท้า"  ฝึกหายใจ ฝึกการแกว่งแขน ดูรูปถ่ายตัวเรา แล้วมาปรับปรุงท่าทาง ตรวจสอบตัวเองขณะวิ่งตลอดเวลา บางทีเพลิน ส้นเท้าลงตึกๆ ไม่ได้ละ ต้องกลับมามีสติวิ่งให้เต็มเท้า เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ และเป็นการฝึกสมาธิ อยู่กับการควบคุมลมหายใจ 

ระวัง...มือเก่า !
มันจะมีประโยคนี้ในสนาม "มือใหม่โดนมือเก่าเล่นงาน" คือคนใหม่ไปวิ่งตามคนเก่าที่วิ่งกระชาก พอวิ่งกระชาก หัวใจปั๊มเลือดผิดจังหวะ ที่นี้เสียสูญเลย คือ หัวใจเสียหาย พอหัวใจเสียหายปุ๊บ มันก็ทำให้เหนื่อยเร็ว เหมือนเครื่องจักรช็อต หลังจากนั้นก็ใช้งานไม่ดีแล้ว

เป้าหมาย ต้องเป็น The Winner มั๊ย ?
เป้าหมายหลัก พี่ไม่ได้สนใจที่รางวัล เรามาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ประกอบกับที่พี่ชอบเที่ยว วิ่ง กิน เที่ยว ถ่าย (ถ่ายรูปนะ...ไม่ใช่ถ่ายอุจาระนะ ... อิอิ ... ) (อันนี้ก็ต้องถ่าย จะได้เที่ยวสนุกนะค๊าาาา) เราก็ไปสนามต่างๆ เราสัญญากับตัวเอง (เป้าหมาย) จะไปทุกสนามของประเทศไทย สัญญาว่าจะทำให้ถึง 100 มาราธอน (ไม่นับ มินิ กับ ฮาฟ) นับเฉพาะ Full , Ultra , Trail ตอนนี้ ได้ 30 มาราธอนแล้ว เหลืออีก 70 ปีละ 5 มาราธอน (ก็จนถึงอายุประมาณ 66 ขวบปี...555x อุ่นคงต้องร้องเพลง อุ๊ย ! จะขอกัดแขนเล่นเบาๆ ไปตลอดอายุขัยของผองเรากันเลยทีเดียว)
***ถ้าเราไปเน้นแข่งขัน มันจะเกิดอาการอยากเอาชนะกัน แต่ถ้าเราไปปล่อยสบายๆ ได้ ก็ได้ ไม่ได้ก็ช่างมัน ก็มีความสุข



ละเลียด Run & Ride เพลิดเพลินเจริญใจ
เมื่อปลายปีก็ปั่นไปเที่ยวไป กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ กับเพื่อนอีก 2 คน ถ้าขับรถยนต์ไป มันก็แค่ผ่าน ... พอเราปั่น แล้วค่อยๆ ละเลียดไปในที่ที่ไม่เคยได้ไป เราได้เห็นเสน่ห์วิถีชาวบ้าน กิน พัก เห็นในสิ่งที่รถยนต์พาไปไม่ถึง แต่จักรยานพาไปถึง ค่อยๆ ด่ำดื่ม บรรยากาศ ผู้คน และหนทาง มันสุนทรีย์ของจริง ได้ออกกำลังกายพร้อมเที่ยว และเราไปแบบนี้ก็เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจเราด้วย ปั่นวันละ 100 โล ไปแวะวิ่งมินิมาราธอนที่อยุธยา (ออกจากกรุงเทพ เสาร์เช้า ถึงยุธยาตอนเย็น เช้าวิ่ง) ได้ถ้วยด้วย (ฮูเร !) ปั่นต่อไปนอนพยุหะ คืนต่อไปนอนที่สลกบาตร บ้านตาก แล้วสบปราบ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย(ลำปาง) แล้วก็เข้าเชียงใหม่  ไปถึงเชียงใหม่วันศุกร์ วันเสาร์พัก วันอาทิตย์วิ่ง แล้วนั่งรถไฟกลับ (555X หัวเราะชอบใจตัวเอง ... มันสะใจจริงๆ ค่ะคุณผู้อ่านขา ปั่นไป 900 โล เพื่อไปวิ่งมาราธอน แล้วก็กลับ ... เชื่อแระว่าเป็น Passion จริงๆ)


ดูแลเรื่องอาหาร...ใช้สูตร 112 คือ ข้าว 1 ส่วน โปรตีน 1 ส่วน ผัก 2 ส่วน ข้าวนี่เป็นข้าวกล้องนะ  น้ำตาล น้ำมัน เกลือ ก็ใช้สูตร 661 คือ น้ำตาล 6 ช้อนชา น้ำมัน 6 ช้อนชา เกลือ 1 ช้อนชา ต่อวัน อาหารทอดนอกบ้านแทบจะไม่กิน ระวังเรื่องน้ำมันทอดซ้ำ (มีทรานเฟทสารก่อมะเร็ง) กินผักหลากสีเยอะๆ เพราะจะได้สารอาหารหลากหลาย ที่บ้านจะมีมะเขือเทศติดตู้เย็นเสมอ (มะเขือเทศป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย ป้องกันมะเร็งเต้านมสำหนับผู้หญิง) (คุณผู้อ่านขา ในระหว่างที่เราคุยกัน มีเสียงนกในสวนหลวง ร.9 มาเจื้อยแจ้ว พูดคุยด้วย ... สุนทรีย์จริงๆ ... อยากให้คุณผู้อ่านมาอยู่ด้วยกันจัง)

พักผ่อนนอนหลับ...
นอน 3 ทุ่ม ตื่นตี 4 ครับ (เป็นเวลาที่ร่างกายซ่อมเซลล์ได้ดีที่สุด)

ฝากถึงคนอยากวิ่งเก่งๆ...
พี่เคยถามนักวิ่งเก่งๆ ว่าเขาเก่งได้ยังไง เขาบอกว่า พรสวรรค์ 25% ฝึกซ้อม 25% นอน 25% กิน 25% ถ้ามีพรสวรรค์ 25%  แต่ไม่ซ้อมก็หายไปแล้ว 2%  อีกคนมีพรสวรรค์ 10 แต่ซ้อมอย่างมีวินัย 25% คะแนนมากกว่าคนที่มีพรสวรรค์แล้ว ดังนั้น เป็นเรื่องของการมีเป้าหมายจริงๆ บวกกับวินัยครับ 


ฝากถึงชาวโลก...
ทุกคนรู้ว่ากินอาหารดี เป็นเรื่องดี ออกกำลังกาย เป็นเรื่องดี ประโยคนี้ความจริงนี้ เราได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ "กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ" ทุกคนรู้ แต่หลายคนมีข้ออ้างเยอะ เขาเรียกว่า ข้ออ้าง 2 คันรถสิบล้อ แต่เหตุผลที่จะมาวิ่งมีแค่ ข้อสองข้อ
ถ้าอยากแข็งแรง อยากดูดี อยากหาเงินมาใช้ชีวิต ไม่ใช่หาเงินมารักษาตัวเอง ... ต้องก้าวออกมา ...เห็นด้วยว่าการก้าวจากจุดศูนย์ไปจุดหนึ่งมันยาก นักวิ่งเก่งๆ บ่อยครั้งก็มีข้ออ้างตรงก้าวแรกเหมือนกัน แต่พอผ่านก้าวแรกไปได้นะ มันผ่านหมดเลย

มาออกกำลังกายกันครับ "ยารักษาโรค วิ่งรักษาชีวิต" มาราธอน เป็นเรื่องของทั้งร่างกายและจิตใจ "กายที่แข็งแรงต้องเคลื่อนไหว จิตใจที่แข็งแกร่งต้องสงบ"  (ว้าววว...ชอบจัง) อย่างพี่นิเริ่มต้นจากความเครียด (ทำงานไม่ได้เงิน) เครียดแบบแทบทำร้ายคนได้เลย แต่พอวิ่ง ความโกรธ กลาย เป็นการขอบคุณ ร่างกายดี กระฉับกระเฉง เราวิ่งไปคิดถึงต้นไม้ คิดถึงธรรมชาติ จิตใจเราก็สบาย ทำอะไรก็เข้าที่เข้าทางไปหมด ...


ออกกำลังกายมีแต่กำไรครับ ... กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน ฮ่า ไฮ่ ฮ่า ไฮ่ ... >>> 


ปล. เว็บไซค์ที่พี่จรัญแนะนำศึกษาเรื่องมาราธอนเพิ่มเติม
www.forrunnersmag.com/index.php?
www.bangkhunthianjoggingclub.com
www.patrunning.com


ขอบคุณ พี่จรัญ พูลสวัสดิ์ 
อุ่นไอ ไทยแลนด์...เรียบเรียง

1 ความคิดเห็น: