วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พี่โอ อินทนนท์ จากจ็อกกิ้ง สู่ สนามวิ่งมาราธอน

เมื่อวันหนึ่งวันนั้น สายตาสาดไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งคนนั้น  กล้ามแขนน่าแทะเล่น เดินตัวตรง ออกวิ่งแพร๊บเดียวกลับมา  นึกว่าไปอาบน้ำในบึงสวนหลวง ร.9 เสร็จแล้วมาเล่นเวทต่อ ผู้ชายที่ในเสื้อกีฬาสีแดง กางเกงขายาวสีขาว โดดเด่นสะดุดที่ตา อุ่นนี่หนาเลยต้องขอคุยด้วย


พี่โอ อินทนนท์  แขกรับเชิญของ บล็อค “Marathon ที่รักครานี้...  อุ่นเจอพี่โอครั้งแรก นึกในใจ เราเรียกเขาพี่โอ เขาจะว่าไรป่าวน๊า (เข้าใจว่าอายุ 37 เท่ากัน ...ไม่ได้พูดอะไรเกินเลย สายตาอุ่นเห็นแบบนั้นจริงๆ) พอวันนึงได้ยินพี่ยุ เรียก พี่โอว่า เฮีย”  ... อุ่นเหมือนโดนของเข้า  ถึงกับอุทานในใจ  ฮ๊า !!! ต้องคุยด้วย ต้องรู้ให้ได้ว่าพี่โออายุเท่าไหร่ (อันที่จริง ถ้าคุณผู้อ่านมาที่สวนหลวง ร.9 หรือ ที่ไหนก็ได้ที่มีคนออกกำลังกายประจำอยู่ที่นั่น ก็มักจะมีอาการประหลาดใจเสมอ เมื่อพบว่า หน้าตาอ่อนกว่าอายุมากๆ มากเป็นสิบปีเลยล่ะ)

7 โมงเช้า ตรงศาลาหน้าลานเวท (ลานสุขภาพสวนหลวง ร.9)  วันที่ได้รู้ว่า พี่โอไม่ใช่อายุ 37 แต่เป็น 56 ค่ะคุณผู้อ่านขา (เริ่มสงสัยตัวเองว่า พี่โอหน้าเด็ก หรือเราหน้าแก่ ... อุ๊ต๊ะ! บร๊ะ! บรึ๋ย !) ...... และการสนทนาก็เริ่มขึ้น

รูปร่างพี่โอดี๊ดี เป็นเพราะวิ่งใช่ป่ะคะ
ผมเล่นเวทครับไม่ได้เน้นวิ่ง  นักวิ่งจริงๆ รูปร่างไม่เป็นแบบนี้หรอก นักวิ่งแขนขาเขาจะเล็ก (ดูแข็งแรงไปอีกแบบ) รูปร่างเป็นแบบนี้เพราะผมเล่นเวท แต่ไม่ได้เล่นให้ตัวใหญ่นะ เล่นให้แข็งแรงประมาณนี้แหละ ส่วนเรื่องวิ่งผมวิ่งแบบจ็อกกิ้งประมาณ 6-7 กิโล 30 นาทีขึ้นไป เพื่ออบอุ่นร่างกายก่อนเล่นเวท  ผมอยากเพิ่มกล้ามเนื้อส่วนอื่นให้สมส่วนจึงเน้นเล่นเวท วิ่งมันได้แค่กล้ามเนื้อขา แต่วิ่งให้ผลดีมากกับปอด กับหัวใจ ได้ระบบการหายใจที่ดีขึ้นมาก  



ตอนเริ่มออกกำลังกาย พี่โอออกเพราะอยากให้กล้ามเนื้อฟิตๆ แบบนี้เหรอคะ
เริ่มต้นเลยเนี่ย ผมออกกำลังกายเพราะเป็นห่วงสุขภาพ  ตอนนั้น 8 ปี ที่แล้ว (อายุประมาณ 48 ปี) น้ำหนัก 83 กิโล น้ำหนักเพิ่มขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น แต่กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง ทำอะไรก็เหนื่อยง่าย จับหยิบอะไรก็อ่อนแรงเหลือเกิ๊นนนน คนตัวเล็กกว่าเราเขามีแรงเยอะกว่าเราอีก (ทีแรกเราเข้าใจว่าเราตัวใหญ่จะแข็งแรง แต่มันไม่ใช่) สู้กัน ผลักกันกับคนตัวเล็กเราสู้เขาไม่ได้นะ  พุงก็ยื่นเพราะไขมันเยอะ เลยรู้เลยว่ามันไม่เวิร์คแล้ว  ... วันนึงผมดูรายการหนึ่งแล้วก็ได้แรงบันดาลใจ เขาเกษียณแล้วและก็อ้วนด้วย มาบอกเราผ่านรายการทีวีว่า เขาจ็อกกิ้งวันละประมาณ 45 นาที เสร็จแล้วเขาก็มาเล่นเวท เราก็คิดว่าเขาทำได้เราก็ทำได้สิ
ผ่านมา 8 ปี จากน้ำหนัก 83 ตอนนี้เหลือ 66 กิโล น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ เอง เพราะเราไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อลด เราออกให้แข็งแรง  พอเราแข็งแรงแล้ว เราก็ค่อยๆ สร้างกล้ามเนื้อให้ฟิตให้เฟิร์มทีหลัง ก็ทำมาเรื่อยๆ ก็ได้แบบนี้นะ


พี่โอช่วยบอกเทคนิค หรือวิธีลดความอ้วนให้คนอ้วนที่อยากผอมหน่อย  
คนที่อยากลดความอ้วนจริงๆ  ทางเทคนิคการแพทย์บอกว่าต้องออกกำลังกาย 45 นาทีขึ้นไป  เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญ   ใน 30 นาทีแรก ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานที่เราเพิ่งกินไปเมื่อวานออก ส่วน 30 นาทีต่อมา ร่างกายจะเอาพลังงานเก่าที่สะสมมานานแล้วออก  ถ้าคนที่ไม่รู้มาออกกำลังกายนิดหน่อยแล้วไม่ลด ก็จะเกิดความท้อ ดังนั้น ต้องเข้าใจว่าถ้าจะลดความอ้วนต้องออกกำลังกาย 45 นาทีขึ้นไปอย่างจริงจังนะ ต้องอดทน ถ้าจะลด



คนที่ลดน้ำหนักฮวบๆ โดยวิธีกินยาลดโดยที่ไม่ได้ออกกำลังกายเนี่ย ไขมันออกไป แต่กล้ามเนื้อไม่ได้รับการสร้างมาให้เฟิร์ม เนื้อหนังก็จะย่นลง ร่างกายจะไม่เฟิร์ม  ฉะนั้นนะ ถ้ารักสุขภาพ และอยากเฟิร์ม ก็ต้องออกกำลังกาย เพื่อเอาไขมันออก และให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อมาแทนที่  ทำไปเรื่อยๆ สม่ำ เดี๋ยวน้ำหนักจะลด และคงตัวอยู่ที่ร่างกายเราเหมาะน่ะครับ ส่วนเรื่องกิน ก็ดูแลปริมาณอาหารให้พอเหมาะกับพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ คือกินให้พอดีนั่นเอง ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย
เรื่องลดลดช้า แล้วท้อ เนี่ย มีเรื่องจะพูดให้ฟังนะ ... คนเรากว่าจะอ้วนได้ใช้เวลาเท่าไหร่สะสมมาตั้งหลายปี ถูกมั๊ย แล้วเวลาจะเอาออกจะรีบไปไหน มันเป็นไปไม่ได้  มันก็ต้องค่อยๆ ทำไปลดไปเหมือนกัน ให้มันลดไปเรื่อยๆ ไม่ต้องใจร้อนไปกินยา กินยาลดความอ้วน ทั้งอันตราย ทั้งไม่เฟิร์ม  ออกมาวิ่งเผาผลาญพลังงาน แล้ววิ่งเผาผลาญ แล้วมาเล่นเวทเพื่อสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน แบบนี้ดีที่สุด (มาวิ่งมาเล่นเวทที่สวนหลวง ร.9 ไม่เสียสตางค์ด้วย)

(ทิ้งท้ายแบบชัดเจนหนักแน่น ว่า) ออ ! อย่าไปเชื่อเรื่องยาลดน้ำหนัก  ลุกขึ้นมาทำเองครับ ลุกขึ้นมาปฏิวัติ (ปฏิวัติตัวเองจ๊ะ)  พยายามลุกขึ้นมา ทุกอย่างต้องใช้ความตั้งใจ คนเราถ้ามีความตั้งใจแล้ว ก็ทำให้ถึงที่สุด  ไม่ล้มเลิกกลางทางด้วยนะ

                                                            พี่โอกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน เมื่อ ธันวาคม 2557

พี่โอๆ คะ เพื่อนๆ พี่โอที่อายุ 56  สภาพเขาน่าจะล่วงเลย ไปไกลแล้วนะ  แล้วนี่พี่โอจะฟิตไว้รอใครคะ !!!
(พี่โออึ้งไปแพร๊บนึง แล้วตอบว่า) เรื่องสภาพนี้ผมก็จะช้านิดนึงนะ เติบโตช้า
 ให้เขาไปกันก่อนไม่เป็นไรผมไม่รีบ อิอิ ... จริงๆ แล้วผู้ชายส่วนใหญ่กินเที่ยว ไม่ห่วงสุขภาพเท่าไหร่  แต่พอมีอาการไม่ชอบมาพากล ไปหาหมอ หมอแนะนำให้ออกกำลังกายแล้วก็มาออก  มันไม่ทันนะ

เมื่อก่อนผมก็เที่ยวแบบไวหนุ่มแหละ แต่เราไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว ไปเที่ยวก็เมาน้ำเปล่านี่แหละ เที่ยวตามวัยไปสักพักใหญ่ วันนึงเราก็รู้สึกมันไม่มีประโยชน์  ผมก็เลยเปลี่ยนการเที่ยวใหม่ ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด เที่ยวแบบธรรมชาติอะไรประมาณนั้น ดีกว่าเยอะ

ย้อนกลับไปนิดนึง ... สาเหตุอะไรทำให้น้ำหนักพี่โอเพิ่มขึ้นมาในระดับ 83 กิโล ซึ่งเป็นระดับที่พี่โอบอกว่าร่างกายเริ่มไม่แข็งแรงแล้ว
ทำงาน พอทำงานก็ไม่ได้สนใจเรื่องออกกำลังกายเลย  อันที่จริงผมอยากบอกคนหนุ่มสาวนะ ว่าออกกำลังกายมันดีกับสุขภาพมากๆ แต่พวกเขามักพูดว่าไม่มีเวลา ผมว่ามันน่าเสียดายนะ เรื่องไม่มีเวลามันไม่จริงหรอกครับ  วันละแค่ 20-30 นาที ก็ได้เพื่อสุขภาพ แต่เนื่องจาก เขาคิดว่าตัวเองยังแข็งแรงไง ก็เลยไม่ได้ทำกัน  ถ้าเขารู้นะว่าถ้าเขาออกกำลังกายตอนนี้วันละนิดๆ แล้วทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงสวยเมื่ออายุมากขึ้นนะ มันเยี่ยมไปเลยล่ะ  แหมเสียดายแทน



เราออกกำลังกายเราก็สะสม เหมือนหยอดกระปุกนะ ทีละสลึง ทีละบาท หยอดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เต็ม  ออกกำลังกายค่อยๆ ออกไป เดี๋ยวก็แข็งแรง ส่วนการทำร้ายร่างกายก็เหมือนกัน ค่อยๆ หยอดเหมือนกัน  ทีนี้จะเลือกหยอดอะไร ให้เต็มแบบไหนก็ตามใจแค่นั้นเอง  การหยอดทำร้ายร่างกายเขาหยอดแบบเสียตังค์นะ  แต่คนออกกำลังกายหยอดไม่เสียงตังค์ แถมมีแต่ได้ด้วย เจอเพื่อนฝูงยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ก็ทำเอง ใช้ได้จริงๆ นะ ประโยคนี้  เราออกกำลังกายไม่ต้องไปเสียเงินหาหมอด้วยนะ  คนที่ไม่ออกกำลังกาย แถมกินเหล้าทำร้ายตัวเอง จ่ายเงินซื้อเหล้า พอป่วยก็ไปจ่ายสตางค์ให้หมออีก  มาออกกำลังกายใช้เงินซื้อรองเท้าคู่เดียวใส่วิ่งไปได้ตั้งหลายปี  มันคุ้มสุดๆ นะ


มาวิ่ง มาเล่นเวท เล่นอะไรไม่เป็น ก็ถาม แถวนี้มีคนยินดีบอกยินดีสอนเยอะแยะ  อย่างเรื่องวิ่งเนี่ย รุ่นพี่นักวิ่งมาราธอนทั้งหลายเนี่ย เขาบอกว่า เวลาวิ่งอย่าบิดเอว อย่าบิดลำตัว ให้วิ่งตัวตรง แกว่งแค่แขน หายใจเข้า ออกตามจังหวะเท้า (หายใจเข้าไปลึก แล้ววางเท้าในจังหวะที่หายใจออก ) จะทำให้เราเหนื่อยช้าลง วิ่งได้นานขึ้น สาเหตุที่ทำให้เหนื่อยช้าลง เพราะว่าออกซิเจน เข้าไปในร่างกาย  แล้วที่สวนหลวงนี่ ต้นไม้เยอะ อากาศดี ออกซิเจนทั้งนั้น  หายใจเข้าไปลึกๆ เลย ไปฟอกเลือด หายใจลึกๆ ปอดก็ใหญ่ขึ้น  ทั้งแข็งแรงทั้งเฟิร์ม  เดี๋ยวนี้ส่องกระจก ก็คิด เราดูดีขึ้นแฮะดีใจ (พร้อมหัวเราะชอบใจตัวเอง)

พี่โออยากบอกอะไรกับชาวโลกเรื่องสุขภาพ หรือเรื่องออกกำลังกายมั๊ย
ออกกำลังกายแล้วร่างกายมันสดชื่น หน้าตาสดใส เจอแต่เพื่อนดีๆ ผมว่าชีวิตมันมีแต่กำไรนะ
แล้วก็ออกกำลังกายเนี่ยไม่ต้องรีบร้อน  ค่อยๆ เพิ่ม อย่างผมตอนที่วิ่งใหม่ๆ นะ เริ่มวันละ 100 เมตร แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 200 เป็น 300 ขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้วันละหลายกิโล จากที่ตอนอ้วนแค่เดินก็เหนื่อยง่ายแล้ว แต่ตอนนี้วิ่ง 7 โล 8 โล ก็ยังไม่เหนื่อย
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนา ที่ผ่านมาก็ลงวิ่งฮาล์ฟมาราธอน (21 กิโล) งานดอกบัวคู่ เข้า 1 ใน 5 ด้วย (5 คนสุดท้าย)  555x สนุกแท้ (สนามต่อไปเจอกันที่ 5 คนแรกนะครับ อิอิ)

                                                                    วิ่งงานดอกบัวคู่ 28 มิถุนายน 2558

อยากบอกว่าอะไรๆ ก็ไม่ได้สร้างภายในวันเดียว  สุขภาพดีไม่ได้สร้างในวันเดียว  กล้ามเนื้อสวยๆ ก็ไม่ได้สร้างในวันเดียวเหมือนกัน มันต้องค่อยๆ สะสมไปครับ ป้องกันไว้อย่าให้ป่วย อย่าถึงกับรอให้ป่วยแล้วค่อยตระหนัก มันไม่ทันนะ บางทีพอไปถึงหมอ หมอบอกระยะสุดท้ายแล้ว   จบกันไม่ทันจริงๆ
                                                                               ซ้ายวันนั้น     ขวาวันนี้

ส่วนอุ่นลงมติว่า ผลของการออกกำลังกายของพี่โอวันนี้ ยิ่งกว่ากำไร เพราะประหลาดใจอย่างแรงกับตัวเลขอายุพี่โอ ที่ 56 ขวบ ... ขอให้พี่โอแข็งแรง คงสภาพนี้ไว้เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวโลกไปนานแสนนานนนนนะค๊า

อุ่นไอ ไทยแลนด์...เรียบเรียง


ปล. มีบทความย้อนหลัง ของพี่ยุ  พี่จรัญ  พี่โจอี้  น้องกิ๊ก พี่องศามาฝากด้วย ... เชิญรับความสำราญและแรงบันดาลใจจากการวิ่งกันตามอัธยาศัยค่ะ
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/blog-post.html
พี่ยุกับ มาราธอน ทอนอ้วน
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/blog-post_5.html
พี่จรัญ พูลสวัสดิ์ กับเสน่ห์มาราธอน
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/60.html
พี่โจอี้ ... 
60 ยังแจ๋ว (30 ที่ว่าแจ๋ว ยังอาย !!!
อัลตร้า เกิร์ล วัยละอ่อน กับ ประโยคปักใจ "ถ้ากลัวก็ไม่ต้องลงแข่ง แต่ถ้าลงแล้วก็ต้องไปให้ถึง"
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/blog-post_29.html
พี่องศา ศรเล็ก "ถูกตัดรอนจากสนามบอล สู่การเป็นแชมป์เปี้ยนในสนามวิ่ง"


วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พี่องศา ศรเล็ก "ถูกตัดรอนจากสนามบอล สู่การเป็นแชมป์เปี้ยนในสนามวิ่ง"

อ่านจบแล้ว จะรู้ว่า การเป็นแชมป์ ไม่มีอะไรยุ่งยาก ไม่ต้องตีลังกาท่าพิสดาร ... แค่ความเรียบง่าย สม่ำเสมอ ด้วยหัวใจที่เอาจริง แค่นี้จริงๆ !!!

เช้าวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2558 ณ สะพานใบบัว สวนหลวง ร.9 กับสภาพอากาศเบาไปทางไม่มีลม  หากแต่ ณ ที่นี้ พี่องศาก็หอบเอาลมลีลาการสนทนาพาทีในแบบเย็นๆ มาเจรจาประสามาราธอนให้ฟังกันหอมปาก รื่นหู จนร้องอู้ หู !!! อยากออกวิ่งกันเลยทีเดียว ...
30 นาที  สั้นที่สุดเท่าที่อุ่นเคยบันทึกเสียงนักวิ่งมา 555x (นาทีที่ 30 จบลงตรงที่พี่องศาพูดว่า พอแล้วมั๊ง... สั้น กระชับ ชัดเจน มีพลังค่ะคุณผู้อ่านขา) และสั้นนี้ชัดเจนไปด้วยฝีเท้าหนักๆ ที่เข้าเส้นชัย  1 ใน 5 อันดับแรกมาตลอดประมาณเกือบสามสิบปี จึงขอนิยามพี่ชายนักวิ่งคนนี้ว่า พี่องศา  ศรเล็ก แชมป์เปี้ยนฝีปากเบา แต่ฝีเท้าชัดเจน


เริ่มวิ่งด้วยแรงบันดาลใจอะไร และตอนอายุเท่าไหร่คะ
เริ่มตอนหนุ่มๆ เลย อายุประมาณ  27  แต่ตอนนั้นเริ่มจากไปเตะบอลนะ เรามีแรงน่ะ แรงเยอะมาก เราก็อยากเล่นกีฬา ก็ไปสวนลุมนะ เห็นเขาเตะบอลกัน เราก็เข้าไปเตะ แต่เขาไม่ให้เราเป็นตัวจริงเลย เขาบอกเทคนิคเราไม่ได้ ให้เป็นตัวสำรอง ไม่เคยได้ลงแข่งเลย เราก็น้อยใจนะ โมโหด้วย (พร้อมหัวเราะเย็นๆ 555x)  แล้วเราก็เห็นนักบอลเขาวิ่งนะ วิ่งสองรอบของสวนลุมน่ะ (1 รอบ = 2.5 กิโล)  เฮ้ย ! เค้าวิ่งได้ เราก็มีแรง เอา เอา เราก็ลองวิ่งบ้าง ก็วิ่งได้  แต่เรื่องวิ่งมาราธอนเนี่ยเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็แค่วิ่งไป เพราะแรงมันเยอะ (ท่าทางชัดเจน  เชื่อได้เลยค่ะว่าแรงเยอะจริงๆ ค่ะคุณผู้อ่าน) เราก็เห็นเขาวิ่งกันเป็นกลุ่มๆ  น่าสนุกนะ แต่ไม่รู้ว่ากลุ่มอะไร แล้ววันนึงก็เห็นเขาเดินแจกกระดาษอะไรบางอย่าง เราก็ไปเอามา อ๋อ ! ถึงได้รู้ว่ามันมีตารางแข่งวิ่ง พอรู้แบบนั้นแล้ว ก็ซ้อมวิ่งเลย
ไม่เกิน 2 อาทิตย์หลังจากนั้น ก็ลงสนามแข่งเล๊ยยยย  ระยะทาง 4 รอบสนามสวนลุมฯ คือ 10 กิโล ..... เรามีแรงนะ ซัดเต็มที่เลย ...... ปรากฎ จอดครับ จอดที่รอบที่ 3 ครับ มันเหนื่อย หมดแรง หายใจไม่ทัน  ถอดเบอร์ออก ไม่เอาเหรียญ  ถอนตัวเองเลยครับ ไม่งั้นอายครับ (แล้วก็หัวเราะชอบใจ)


มันเป็นอย่างนี้ คือ เราเป็นประเภทที่แรงเยอะ ก็เข้าใจว่ามีแรงเท่าไหร่ก็ใส่ไปๆ แล้วก็ซ้อมน้อยด้วย  แต่มันไม่ใช่ มันไม่ถูกนะ (สำหรับนักวิ่งมือใหม่ควรระวัง หายใจไม่ทัน อันตรายค่ะ)

ทีนี้ก็เอาล่ะ ไปหาซื้อหนังสือสอนวิ่งมาอ่าน แล้วก็ฝึกตามที่หนังสือเขาแนะนำ แล้วก็ได้เวลาลงสนามอีกครั้ง เป็นงานของธนาคารสตางค์แดง ครั้งที่ 1 ปรากฏเราทำได้ดีนะ 10 กิโล ใช้เวลาไม่ถึง 40 นาที ไม่ห่างจากคนที่ได้รางวัลสักเท่าไหร่ ในใจตอนนั้นไม่ได้คิดจะเอารางวัลหรือวิ่งให้ชนะอะไร แต่พอลงสนามนะ เราเห็นคนเขาวิ่งกันได้ แบบแรงดีและเร็ว เราก็ไม่ยอมไง เราก็อยากวิ่งให้ทันเขา มันสนุกนะ (ข้อเท็จจริงที่คนสำเร็จบอกไว้ก็คือ อยากเป็นแบบไหนให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น สถานการณ์นี้คือบทพิสูจน์ที่เป็นจริง ... ไม่ได้อยากแข่ง แต่พอลงไปเจอนักแข่ง บรรยากาศและนักแข่งก็พาไปให้ชนะ ...ชีวิตนี่มันเทห์จริงๆ นะคะ)

พี่องศามีโค้ชมั๊ย
มีเพื่อนๆ ที่วิ่งด้วยกันนี่แหละ ในสนามมาราธอน เราเจอแต่คนดีคนน่ารักมีน้ำใจนะ มีคนเห็นว่าเราวิ่งดี แรงเราก็ดี แต่เรา
ออกแรงเร็วเกินไป มันจึงหมดแรงช่วงประมาณ
3 โลสุดท้าย เขาก็แนะนำให้ซ้อม วิ่ง เบาบ้าง หนักบ้างสลับกันไป เราก็ซ้อมไปตามนั้น แล้วมันก็ค่อยแข็งแกร่งเองแบบอัตโนมัตินะ โดยที่เราไม่ต้องไปเค่นไปเร่งอะไรมัน (ดีจังเลย  เปรียบเหมือนที่ความจริงของชีวิตบอกไว้ว่า เมื่อมีเป้าหมาย แล้วทำสม่ำเสมอ ทุกๆ อย่างที่ทำลงไปจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นชิ้นเป็นอัน หรือเป็นความสำเร็จให้เราได้ชื่นใจเสมอ)  
เทคนิควิ่งให้ชนะเมื่อลงสนามแข่ง
ง่ายๆ นะ เราก็วิ่งเกาะคนกลุ่มแรก ถ้าวิ่งเกาะกลุ่มแรกไม่ทัน เราก็เกาะกลุ่ม 2 เราก็วิ่งแบบนี้มาจนเราถึง 1 ใน 5 นี่แหละ
แต่เราต้องระวังนะ เพราะเรากับเขาซ้อมมาไม่เหมือนกัน บางคนเขาวิ่งเร็ว ช้า  ช้า เร็ว  สลับกันตามจังหวะของเขา
ถ้าเราไปตามเขาทั้งหมด บางทีร่างกายเราไม่ไหวนะ  ดังนั้น ถ้าจะวิ่งเกาะ ก็วิ่งเกาะคนที่วิ่งใกล้เคียงกัน ไม่ไหวก็อย่าไปฝืน อันตราย  วิ่งมาราธอนน่ะ เขาให้วิ่งให้ถึง วิ่งถึงก็ถือว่าผ่าน ส่วนเวลา จะถึงเร็วหรือช้า อย่าเพิ่งไปสนใจ วิ่งให้มีความสุข ให้สนุกตามแรงของเรานะ จะเดินเข้าเส้นชัย ก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร แค่เดินให้ถึงก็พอได้เหรียญเหมือนกัน (แล้วก็ยิ้มเย็นๆ )

ไม่ต้องไปซีเรียส วิ่งไป แล้วเดี๋ยวร่างกายแข็งแรงเอง  อย่างผมลงฟูลมาราธอนเนี่ย ไม่เคยซ้อมถึงหรอก แต่ซ้อมบ่อย วิ่งสม่ำเสมอ วิ่งบ้างเดินบ้างมันได้เอง  ผมลงฟูลมาราธอน ( 42 กิโล)  แต่ซ้อมไม่เคยถึงหรอก แต่ซ้อมบ่อย วิ่งสม่ำเสมอ ให้แข็งแรง   วิ่งบ้างเดินบ้าง มันได้เอง


ตั้งแต่วิ่งสนามสตางค์แดง หลังจากนั้นลงแข่งทุกสนามมั๊ยคะ
เกือบนะ เกือบทุกสนาม ตามเวลาที่เราลงได้น่ะ เรามีแรงน่ะ เราอยากออกแรงไง แรงมีแต่เทคนิคไม่มี  มาเจอเทคนิคตอนวิ่งมาได้สัก 3 ปี อายุประมาณ 30  เริ่มเห็นแววตัวเองว่าสามารถวิ่งเข้า 1 ใน 5 ได้นะ คือ เราวิ่งได้ใกล้เคียงคนชนะน่ะ ถ้าเขานับ 1 ใน 5 เราก็เข้าที่ 6 เขานับ 1 ใน 10 เราก็เข้า 11 แบบนี้เราก็เลยรู้เทคนิคเลยว่าจะชนะยังไง  555x เขาวิ่งหนีเราก็วิ่งตาม แล้วพออายุประมาณ 35 นะ ทุกสนามเราเข้า 1 ใน 5 หมด  แล้วก็ไม่ออกตัวเร็วเกินไป เราต้องรู้จักผ่อน วิ่งตามคนอื่นนั่นแหละ แต่ต้องรู้แรงตัวเอง ไม่ต้องตามทั้งหมด เดี๋ยวจะร่วงเอานะครับ (อิอิ)


วิ่งๆ อยู่ในสนามแข่งมีถอดใจ ... ไม่เอาละ ... มีมั๊ยคะ
ถอดใจไม่มี  ถ้าจะมีก็เพราะเจ็บ แต่ไม่เคยมีเจ็บหรอก เพราะก่อนแข่งเราก็ซ้อม
เวลาวิ่งน่ะ อย่าไปคิดว่า
3 โล แล้ว 5 โลแล้ว หรือเพิ่ง 3 โล 5 โล อย่าไปคิดว่า โอ้โห ! อีกตั้งเท่านี้เท่านั้นโลวิ่งไป อย่าไปคิดใช้เวลาอยู่ตรงก้าวเราตรงนั้นแหละ คุยกับคนข้างๆ ไป แป๊บเดียวก็ถึง คุยกันเพลินๆ ไป เกาะคนนี้ไปหน่อย ลากคนนั้นไปบ้าง ใครทักก็คุยกับเขาไป มันจะเพลิน เอ้า ถึงเส้นชัยแระ  ถ้าวิ่งไม่ถึง ก็เดินให้ถึง เข้าถึงเส้นชัยเขานับหมดแหละ จะเดินจะวิ่ง เอาให้ถึง


บางคนอยากวิ่ง แต่พอบาดเจ็บก็ไม่กล้าวิ่ง พี่องศามีอะไรแนะนำมั๊ย
อย่าไปตกใจเวลาวิ่งแล้วเจ็บ ค่อยๆ ดู บางทีอาจจะแค่กล้ามเนื้อกำลังปรับตัว ถ้าไม่แน่ใจก็ไปให้หมอดู จะได้วิ่งสบายใจ

พี่องศาบอกว่าเจออุบัติเหตุเข่าหลุด กระดูกแตกก็ผ่านมาแล้ว แล้วทำไมยังวิ่งอยู่ได้ ไม่กลัวเหรอคะ
ก็ใจเรามันเต็ม 100 ไง เราอยากวิ่ง ครั้งนึง เท้าเราบวมข้างนึงนะ บวมมากๆ  เราก็ไปซื้อรองเท้าคู่ใหญ่มาใส่ข้างที่ใหญ่แล้วก็เดิน นี่แหละมันอยู่ที่ใจ มันก็ยังวิ่งได้ ถ้าไปให้หมอเอ็กซเรย์ก็ไม่ได้เดินไม่ได้วิ่งหรอก หมอห้ามแน่นอน (อิอิ ใจไม่ถึงร้อย อย่าเพิ่งลอกเลียนแบบนะคะ) แล้วเมื่อประมาณ 7 เดือนที่แล้ว มอร์ไซค์ล้ม หัวเข่าหลุด กัดฟัน กดกลับไปเอง เรายังอยากวิ่งได้นะ (อูว แบบนี้ถ้าใจไม่เกินร้อย ก็อย่าเพิ่งลอกเลียนแบบเช่นกันนะคะ)


จากอายุ 27 จนมาถึงวันนี้ วิ่งมาเกือบ 30 ปี กีฬาที่ชื่อว่ามาราธอนนี้มีเสน่ห์อะไรเหรอคะ คือ เราอยากรู้ว่าเราทำได้มั๊ย  เฮ้ยทำได้ แล้วมันก็สนุก แล้วก็มีรางวัลล่อใจนะ  มีถ้วยสวยๆ มีเงิน  ได้รางวัลน่ะดี  แต่ไม่ติดก็ไม่เป็นไร มันสนุก คิดว่าไปวิ่งลากน้องๆ ลากเพื่อนๆ ไปรับ ไปส่งน้ำให้  บางทีกว่าคนของเราจะเข้าเส้น เราก็มีเพื่อนใหม่ไปหลายคนแล้ว มีมิตรภาพ ร่างกายแข็งแรง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน หรือต้องกินอะไรเสริมเป็นพิเศษมั๊ยคะ
ผมชอบกินแบนเนอร์โปรตีนขวดนะ ชอบมันมีแรง มันสดชื่นดี แต่มันแพง (อิอิ) (ก็กินกันได้กินกันไปตามอัตภาพ อะไรประมาณนี้มั๊งคะ) ไม่ได้ดูแลอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่ผมชอบกินผลไม้ กินทุกวันเลย ถ้าขาดไปวันนึงนะ จะลงแดง สัปปะรด แตงโม มะม่วง ชอบมาก ช่วยให้สดชื่นด้วย 

ฝากบางสิ่งถึงคนฝึกวิ่งหน่อยนะคะ
อย่าขี้เกียจ  ทำให้มันเป็นกิจวัตร เหนื่อยก็เดินเอา  พอมันติดนะ วันไหนไม่ได้ออกวิ่งจะกระสับกระส่าย หงุดหงิดนะ ออกมา จะเดินก็ช่าง เดินไป  จะลงแข่งกลง 10 กิโลบ่อยๆ  นานๆ ไป ค่อยเพิ่มระยะให้ไกลขึ้น ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน แค่สม่ำเสมอก็พอแล้วเดี๋ยวร่างกายมันแข็งแรงเอง
ผมฝึกกล้ามด้วยนะ เล่นฟิตเนสบ้าง ต้องเล่นนะ แต่ไม่ให้กล้ามใหญ่ ถ้าใหญ่จะวิ่งไม่ออก เล่นแค่ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ... แล้วคำนี้ก็ออกจากฝีปากพี่องศา แค่นี้แหละ  ... พอได้แล้วมั๊ง !!!”  ( 555 x จบแบบทันทีทันใด ไม่มีสร้อยระย้า) ได้ ได้ ได้ค่ะพี่ ... ขอบคุณมากค่ะ (อิอิ)


ขอบคุณนักพี่องศา  ศรเล็ก นักวิ่ง ฝีปากเบา แต่ฝีเท้าชัดเจน ที่ย้ำให้เห็นความสำคัญของความสม่ำเสมอ และการมีความสุขในระหว่างการลงมือทำ เพราะความสม่ำเสมอและความสุข จะนำพาผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาให้เราได้ชื่นหัวใจอย่างแน่นอน

อุ่นไอ ไทยแลนด์...เรียบเรียง

ปล. มีบทความย้อนหลัง ของพี่ยุ  พี่จรัญ  พี่โจอี้  กับน้องกิ๊กมาฝากด้วย ... เชิญรับความสำราญจากการวิ่งกันตามอัธยาศัยค่ะ
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/blog-post.html
พี่ยุกับ มาราธอน ทอนอ้วน
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/blog-post_5.html
พี่จรัญ พูลสวัสดิ์ กับเสน่ห์มาราธอน
http://dearmarathonbyparamat.blogspot.com/2015/06/60.html
พี่โจอี้ ...
60 ยังแจ๋ว (30 ที่ว่าแจ๋ว ยังอาย !!!

อัลตร้า เกิร์ล วัยละอ่อน กับ ประโยคปักใจ "ถ้ากลัวก็ไม่ต้องลงแข่ง แต่ถ้าลงแล้วก็ต้องไปให้ถึง"