วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พี่โจอี้ 60 ยังแจ๋ว ... (สามสิบที่ว่าแจ๋วยังอาย !!!)

อยากมั๊ย ที่เมื่ออายุ 60 ขวบปีแล้ว แต่ชาวโลกเข้าใจว่าน่าจะสัก 40 ปลายๆ เพราะแลดูกระฉับกระเฉง ปราดเปรียวว่องไว หนุ่มๆ สาวๆ พากันประหลาดใจกันทุกสนามวิ่ง กับพี่ชายคนนี้เลย "พี่โจ้อี้...บัณฑิต ธีระกมลกิจ ผู้ชายร่างเล็ก อายุ 61 ขวบ แต่กล้ามเนื้อแขน ขา พุง และทั้งร่างแข็งปั๊ก (ถ้าวิ่งชน มีโอกาสหัวแตก...อิอิ)

พี่โจอี้แลดูหนุ่มเยาว  กระชากใจให้พี่ต้องมาขอคุย แล้วเขียนให้โลกกระชวยชุ่มด้วยกัน แน่นอนว่าสาเหตุหลัก คือ "วิ่ง" ฟันธง !
อูววว ! รีรอไม่ไหวแล้ว ... ไปคุยกับพี่โจอี้กันเลยดีกว่า

เริ่มวิ่งตอน...
ช่วงอายุประมาณใกล้ๆ 30 มีเพื่อนคนหนึ่ง เขาชอบวิ่งมาก วิ่งทุกวัน เราก็สงสัยว่าสนุกอะไรกัน ถึงวิ่งได้ทุกวัน ก็เลยขอตามไปด้วย โดยไม่ศึกษาว่าวิ่งยังไง เพราะเราเข้าใจว่าเราก็วิ่งได้มาตั้งแต่เด็กแล้วนิ

โอ้โห ! วิ่งได้กิโลนึงมั๊ง ! ขามันล้าไปหมด ไม่สนุกเลยกีฬานี้ เพื่อนบอกฝืนๆ หน่อย เดี๋ยวก็ติด...มันฝืนบ่ไหวน่ะ เลยเรียกสามล้อกลับห้องพัก แต่ลึกๆ ใจยังอยากวิ่งอยู่ เลยไปซื้อหนังสือฝึกวิ่งมาอ่าน

เลยอ๋อ ! มันต้องมีการ ยืดเส้น ยืดกล้ามเนื้อก่อนวิ่ง ถ้ากล้ามเนื้อไม่พร้อม มันก็วิ่งได้แป๊บเดียว การถ่ายเทของเสียก็ไม่ดี ทำให้ล้า ไม่อยากวิ่ง เขาก็สอนให้ฝึกวิ่งเป็นขั้นตอน ไม่ใช่ปุบปับจะวิ่งก็วิ่ง

ก็วิ่งออกกำลังกายปกติไปนะ ไม่มีอะไรจุดประกายให้ต้องวิมาราธอน หรือลงแข่งอะไร ใช้ชีวิตแบบวัยหนุ่มทั่วไป ทำงาน เที่ยว ดื่มเหล้า นอนดึก เช้าก็ตื่นไปทำงาน แต่พอเย็นเราก็ไปวิ่งนะ "ใจมันเรียกให้วิ่ง...มันผูกพัน" ดีนะชอบ ร่างกายแข็งแรง


นอกจากเริ่มวิ่ง เพราะสงสัยว่ามันสนุกยังไง แล้ว ยังมีสาเหตุที่ทำให้สนับสนุนให้วิ่งขึ้นไปอีก...
ที่บ้านมีกรรมพันธุ์ทางฝั่งพ่อ ตายกันด่วยโรคถุงบมโป่งพองหลายคน (เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ขาดเอนไซม์ (Enzyme) ชื่อ Alphaone antitrypsin) ผมเป็นคนพาพ่อไปหาหมอ หมอบอกห้ามสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็ยังไม่ได้ติดใจ หรือเกิดแรงฮึดอะไรนะ แต่พอเราได้ยินว่า วิ่งทำให้ปอดแข็งแรง ก็ยิ่งเป็นกำลังเสริมให้เราอยากจะวิ่ง พาพ่อไปหาหมอโรงพยาบาลบ่อยเข้า ก็ยิ่งเป็นแรงเสริมให้เราดูแลสุขภาพ

เริ่มลงวิ่งมาราธอน...
กรุงเทพฯ มาราธอน ครั้งที่ 2  คือ มาราธอนครั้งแรกของผม ตอนเขาจัดครั้งแรกคนวิ่งกันเยอะ เราก็สนใจและเราก็รู้สึกอยากลงไปสัมผัสความท้าทาย หลังจากวิ่งครั้งแรกกับเพื่อนวันนั้นนะ ซ้อมอยู่ 4 เดือน  ลงฟูลมาราธอนเลย (42.195 กม.) ซ้อม 21 วิ่ง 42.195  ทำเวลา ที่ 3 ชม. 50 นาที ถือว่าใช้ได้นะ คนที่วิ่งฟูลมาราธอนได้ครั้งแรกโอ้โห ดีใจนะ มันรู้สึกสะใจดี และเราพอใจตรงที่เราวิ่งถึงไง เราไม่ได้ตั้งใจแข่งกับใคร แค่จะดูว่าร่างกายเราไหวมั๊ย ปรากฏไหว ก็ดีใจ แต่ โอ้โห ! ปวดกระดูกไปทั้งตัวเลย (รู้สึกว่าจะหัวเราะขำตัวเองเล็กน้อยนะคะ...แต่ตอนนั้นคงขำไม่ออก อิอิ)


ทีนี้ก็กลับมาซ้อม ฝึกตามแผน ทำเวลาให้ดีขึ้น ดูแลเรื่องพักผ่อน สองสามทุ่มเนี่ยหลับแล้ว เพื่อนโทรมาไม่ได้รับโทรศัพท์ ก็แซวกันว่าเราเป็นเด็กอนามัยไปเลย มันดีนะ เราไม่ต้องไปเปลืองตัวกินเหล้า กีฬากับเราผูกพันกัน มันทำให้เราสนุกที่จะรักษาสุขภาพให้ดีเพื่อที่จะวิ่งให้ดี (ตอนนั้นวิ่งสวนลุม เพราะทำงานแถวราชประสงค์)

ที่นี้พอกรุงเทพฯ มาราธอนครั้งที่ 3 เปิด ผมก็สมัคร (ก็เป็นมาราธอนครั้งที่ 2 ของผม)  สวนหลวงเปิดพร้อมตอนผมซ้อมเพื่อวิ่งครั้งที่ 2 ผมมาวิ่งตั้งแต่สวนเปิดวันแรกเลย

โห !!! ...ดีใจมากเพราะเราได้ซ้อมสนามใหญ่ """นักวิ่งมาราธอนส่วนใหญจะชอบซ้อมสนามใหญ่นะ เพราะจะได้วิ่งยาว ไม่เบื่อที่ต้องวนบ่อยๆ ในสนามเล็กๆ ตอนนั้นแทบจะไม่ทีคน ฝนตกรองเท้าป็นขี้โคลนอ่ะ  ถนนยังเป็นดินอยู่ เราก็วิ่งอย่างนั้นแหละ รีบวิ่งแล้วก็รีบไปทำงาน (อุ่นชอบจัง ตรงนี้ตอบโจทย์ที่หลายคนบอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลาไม่มีจริงหรอก ถ้าใจจะเอา ฟันธง !)

หลังจากครั้งแรก ก็ซ้อมมา 1 ปี อายุตอนนั้นประมาณ 30 กว่าๆ ลงสนามฟูลมาราธอน ครั้งที่ 2 เราก็ยังไม่ได้คิดว่าต้องแข่งขันนะ แต่เราอยากทำเวลาให้ดีขึ้น โหหห !!! ดีใจมาก ดีขึ้นเยอะเลย ทำได้ที่ 3 ชม. 24 นาที จากครั้งแรก 3 ชม. 50 นาที มันทำได้เพราะเราตั้งใจไง...ดีใจ ! ครั้งนี้ได้ถ้วยใบแรก ดีใจ ดีใจ !


หลังจากนั้น วิ่งออกกำลัง แต่ไม่ได้ลงแข่ง...
หยุดแข่ง แต่ก็ยังวิ่งออกกำลังกายอยู่ ผมไม่ได้สนใจว่าสนามแข่งเป็นยังไง ไม่มีความคิดว่าอยากจะได้รางวัลอยากจะได้ถ้วยอะไร ผมซ้อมวิ่งในสวน คนที่เห็นกันบ่อยๆ ก็ทัก เฮ้ย ! เอาแต่ซ้อม ไม่เห็นลงแข่งเลย ก็เฉยๆ นะ เพราะไม่มีเวลาเดินทางไปวิ่งตามสนามต่างๆ

ทีนี้มาเปิดร้านเกมก็มีเวลามากขึ้นหน่อย ... ม.ค.ปี 2008 ก็ลงแข่งอีก อยากรู้ว่าร่างกายเราสามารถทำเวลาได้ดีแค่ไหน ก็ลงเป็นฮาล์ฟมาราธอน (21 กม.)  เป็นสนามจอมบึง ทางเรียบมีเนินนิดหน่อย เราก็ทำได้ที่ 1 ชม. 45 นาที ก็ถือว่าดีเพราะเวลาไม่ตก กับที่เราก็อายุเยอะนะ 54 ก็รู้สึกดีที่ว่าเราทำได้ แต่เจ็บเพราะไม่ได้วิ่งยาวมานานแล้ว (ประมาณ 20 ปี จากที่ลงฟูลมาราธอนครั้งที่ 2) 20 ปีที่วิ่งมาก็ประมาณ 10-12 กม. ต่อวัน ก็ฝากบอกคนที่จะลงแข่งนะ ที่ดีที่สุด คือ กำหนดเป้าหมาย วางแผน แล้วซ้อมตามแผน และเนื่องจากในสนามซ้อมกับสนามแข่งมันต่างกันตรงที่ซ้อม วิ่งอยู่คนเดียว ไม่ได้แข่งกับใคร และถึงแม้ว่าในสนามแข่งเราก็ไม่ได้ตั้งใจแข่งกับใคร แต่พอเห็นคนเขาวิ่งเร็ว เราก็วิ่งตามเขา แบบนี้ บาดเจ็บได้ง่ายๆ ดังนั้น การซ้อมตามแผนสำคัญมาก

แรงบันดาลใจที่ทำให้อยากลงสนามแข่งแบบจริงจัง...
ไปเห็นถ้วยของงานพันท้ายนรสิงห์ในเดือน ก.พ. ปี 2008 ถ้วยเขาเป็นเซรามิค สวยมาก สวย ใจอยากจะได้ถ้วยใบนั้นเลย ก็เลยฝึกซ้อมเลย ซ้อม 1 ปี ในใจบอกว่าปีหน้าจะมาเอาถ้วยใบนี้ ต้องทำให้ได้ 1 ชม. 35 นาที ถึงจะได้ถ้วย 

ทีนี้เปิด Google เลยว่าต้องซ้อมยังไง ผมไม่ได้ถามเพื่อนนะ เพราะแต่ละคนมีวิธีการฝึกซ้อมไม่เหมือนกัน ก็หาใน Google เขาก็แนะนำไว้หลายวิธี เราก็เลือกที่เหมาะกับเราที่สุด ก็ทำได้ พอหลังจากได้ถ้วยใบแรก โอ้โห ! ที่นี้คึกคักเลย ใจมันมาแล้วมันอยากลงแข่งจริงๆ หลังจากนั้นได้ถ้วยเกือบทุกงาน (ปัจจุบันศิริรวมแล้วน่าจะประมาณ 100 ใบ ใส่กล่องไว้บ้าน)


แค่ท้าทายตัวเองแต่ไม่แข่งกับใคร...?
ท้ายทายตัวเองดัวย แข่งกับคนอื่นด้วย เพราะมันต้องมีคู่แข่งขัน เพื่อชนะไง เราต้องมองคู่ต่อสู้ และพยายามที่จะเอาชนะเขาให้ได้ เห็นใครอยู่ข้างหน้าเราก็พยายามแซง ตอนผมรับถ้วยแรกๆ คนก็คิดว่า เอ๊ะ เป็นใครวะ อยู่ดีๆ ก็ขึ้นมารับถ้วย เขามองผมแปลกๆ เพราะไม่เคยลงสนาม และอายุ 50 กว่าแล้ว อยู่ดีๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ คนอื่นๆ เขาก็แข่งกันมาตั้งแต่ช่วงอายุ 30 กว่า 40 กว่า ก็จะแข่งกันขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงกลุ่มอายุ 50 ไง แต่ผม อยู่ก็โผล่มาเงี๊ยะ เขาก็ว่าผมวิ่งลัดสนามมา แต่ก็ลงแข่งอีกไม่กี่งานก็รู้ว่าตัวจริง

อยู่ในสนามแข่งมีถอดใจมั๊ย...?
ไม่มี มีแต่คิด จะเอาให้ถึงให้ได้ พอเหนื่อยก็เดิน แล้วค่อยวิ่งต่อ ใจไม่เคยบอกให้หยุด ใจบอกแต่จะเอาให้ได้ เอาให้ถึงให้ได้เท่านั้น และผมก็ถนัดวิ่งระยะยาว ก็ทำได้ คนส่วนใหญ่จะเหนื่อยที่ กม.ที่ 30 เพราะส่วนใหญ่ซ้อมแค่ 30 กม. พอถึง 30 ก็แผ่วตรงนั้น แต่ผมและหลายคนนะ ไม่รู้ว่าอีก 12 กม.ที่เหลือเอาแรงมาจากไหน มันไม่เหนื่อยแล้วอ่ะ แถมวิ่งแรง เร็วกว่าเดิมด้วย แล้วมันสนุกตรงที่เราแซงคนอื่นได้ตอนช่วงนี้แหละ ผมว่านะคนที่มีจิตใจของนักแข่งขันจะไม่เหนื่อย แต่คนไม่มีจิตใจเรื่องการแข่งขันก็จะถอดใจ

กล้ามเนื้อหน้าท้องพี่โจอี้ส๊วย สวย ...
กล้ามเนื้อบางส่วนไม่ได้ใช้ตอนวิ่ง ก็วิดพื้นบ้าง ซิทอัพบ้าง แต่การวิ่งมีส่วนนะ เพราะเวลาวิ่ง กล้ามเนื้อมันเกร็งตัว (อุ่นต้องจัดจริงจังบ้างแระ จะได้ใส่เสื้อโชว์เอววิ่งบ้าง...ชมพู่  ปูไปรยา หรือเจนนี่ ต้องร้อง โอ้โหอุ่น !!! บ้างล่ะ...อิอิ)

ฝากถึงสาวๆ ที่อยากวิ่งแต่กลัวขาใหญ่...
เค้าเข้าใจผิด วิ่งมาราธอนเนี่ย คือ การวิ่งระยะยาว ระยะยาวเป็นระยะที่ อาศัยการถ่ายเทพลังงานของกล้ามเนื้อแบบต่อเนื่อง เป็นการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน วิ่งไปเผาผลาญไป ขาคนวิ่งมาราธอน ขาจะเล็กลง แต่กระชับนะ  วิ่งท่าไหนก็ไม่ทำให้ขาใหญ่ นอกจากนักวิ่งระยะสั้น ที่ต้องใช้พลังงาน (เขาต้องมีกล้ามเนื้อใหญ่ส่งแรง) นักวิ่งระยะยาวเป็นแบบแอโรบิค นักวิ่งระยะสั้นเป็น อันแอโรบิค คือไม่ใช้ออกซิเจนไง กลั้นหายใจวิ่ง ปึ๊งๆ จบ ... วิ่งมาราธอน ขาไม่ใหญ่ แต่ถ้าเป็นกล้ามน่ะใช้ มีกล้ามน่ะดีสิ สวย แข็งแรง 


จากตอนแรกวิ่งเพราะเห็นเพื่อนวิ่ง ก็เลยสงสัยว่ามันสนุกยังไง ตอนนี้อุ่นดูกว่ามันไม่ใช่แค่สนุกแล้วล่ะ มันต้องมีประโยชน์มหาศาลกับสุขภาพที่โจอี้เลยล่ะ ผลลัพธ์ทางกายภาพมันบอกชัดเลย...พี่โจอี้ช่วยบอกประโยชน์ของการวิ่งหน่อยสิคะ...
สมัยก่อนตอนทำงานนี่สมองจะหนัก บางคนรู้สึกสมองตึงๆ ก็ไปนอน ไปหาอะไรกิน ดูหนัง แต่ถ้าเป็นนักวิ่งนะ สมองเขาตึงเขาจะมาวิ่งเลย วิ่งแล้วหายเลย โล่งเลยนา เหมือนกับการทำสมาธิเลย ให้ฝึกแบบนี้นะ ตอนวิ่ง ไม่ต้องมองไกล มองสี่ห้าเมตรพอ ฝึกทำสมาธิ คิดได้คิดอะไรก็ได้ในเรื่องที่สบายใจ วิ่งไปคิดไป แป๊บเดียวโล่ง

แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ทำสมาธิอะไรหรอก เพราะไม่มีอะไรต้องคิดแบบสมัยหนุ่มๆ แล้ว จะอยู่ที่ตรงนี้มากกว่า ว่าวันนี้เราตั้งใจวิ่งแบบไหน ก็ทำให้ได้ตามที่ตั้งใจ ... วันไหนที่ตั้งเป้าแล้วจะไม่ค่อยวิ่งกับใครนะ เพราะเดี๋ยวจะชวนกันเกเร เราตั้งใจก็ซ้อมคนเดียวไป

สุขภาพสำคัญที่สุดนะ ผมวิ่งมาเป็น 30 ปี ร่างกายแข็งแรงมาก ป่วยก็หายง่าย บางทีไม่ต้องหาหมอ นอนพักนิดหน่อย เดี๋ยวก็หายทำอะไรก็กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ง ปราสาทความรู้สึกไว กว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันที่ไม่ออกกำลังกายเยอะมาก
หัวใจ ปอด ระบบหลอดเลือดดีมาก เพราะเวลาวิ่ง เลือดมันได้สูบฉีดไง กล้ามเนื้อส่วนที่ใช้งานก็แข็งแรง วิ่งนี่ใช้งานเกือบทุกส่วนนะถ้าคนที่ไม่เคยวิ่ง แล้วลองวิ่งสัก 10 โล จะสงสัยว่า เอ๊ย ! เราใช้ขาวิ่ง แต่ทำไม่ แขน เขอ หลัง เหลิง เมื่อยไปหมด นั่นเป็นเพราะว่ามันได้ใช้งานไง


วิ่งก็เป็นกีฬาที่ง่าย เป็นพื่้นฐานของกีฬาทุกอย่าง มีประโยชน์มาก แล้วก็ประหยัดที่สุดา ค่าใช้จ่ายน้อย ไม่ต้องเสียเงินเช่าสนาม เสื้อผ้าก็ไม่ต้องมีชุดแพงๆ อย่างตีกอล์ฟ ก็ต้องมีชุดตีกอล์ฟ เทนนิส ว่ายน้ำ ก็ต้องมีชุดเฉพาะ เงื่อนไขเยอะ วิ่งเงื่อนไขน้อยที่สุดแล้ว ไม่ต้องรอเพื่อน  อยากวิ่งก็วิ่งเลย การร่วมแข่งขันก็ประหยัด ถ้าเทียบกับการเล่นกีฬาอย่างอื่น กิจกรรมการวิ่งเยอะมาก 
มีเพื่อนในสนามเยอะแยะ เดี๋ยวพอเห็นหน้าบ่อยๆ ก็ทักทายกัน เดี๋ยวก็ชวนกันไปวิ่งแระ เราไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเพื่อน มีทุกวัยเลย ถือว่าเป็นการพักผ่อนนะบางทีก็ชวนกันไปวิ่งต่างจังหวัดน่ะ


คุณผู้อ่านขาอุ่นฟันธง ว่า กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ กีฬาอะไรก็ได้นะ ถ้าเล่นอย่างถูกต้อง ก็เป็นยาวิเศษหมด ส่วนสำหรับวิ่ง เป็นกีฬาง่ายๆ อย่างที่พี่โจอี้บอก และมีประโยชน์มากมายจริงๆ ถ้าคุณผู้อ่านมีโอกาสได้เจอพี่โจอี้ตัวเป็นๆ นะ บางทีอาจทายว่า อายุแค่ 40 ต้นๆ ... โอ้ว !!! เริ่มต้นออกกำลังกายกันวันนี้ จะได้ดูดี เซี๊ยะ ตึง เปรี๊ยะ ตลอดกาลนานกันนะจ๊ะ


ขอบคุณพี่โจอี้...บัณฑิต ธีระกมลกิจ

อุ่นไอ ไทยแลนด์...เรียบเรียง

ขอบคุณภาพ...ตามภาพ, จรัญ พูลสวัสดิ์ และอื่นๆ จากเฟสบุ๊คพี่โจอี้




2 ความคิดเห็น:

  1. 61 ขวบปี กับก้าววิ่งที่แข็งแรงสุดๆ

    ตอบลบ
  2. สุดยอดเลยครับพี่คนนี้เห็นวิ่งอยู่สวนหลวงทุกที ที่ผมไปซ้อม

    ตอบลบ